กกต. ปิดศูนย์รับสมัคร สส. พรรคการเมืองส่งแคนดิเดตนายกฯ 94 คน ย้ำ กทม. เขต 33 เปลี่ยนผู้สมัครได้ เหตุขาดคุณสมบัติ

กกต. ปิดศูนย์รับสมัคร สส. พรรคการเมืองส่งแคนดิเดตนายกฯ 94 คน ย้ำ กทม. เขต 33 เปลี่ยนผู้สมัครได้ เหตุขาดคุณสมบัติ

View icon 47
วันที่ 31 ธ.ค. 2568 | 18.11 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
กกต. ปิดศูนย์รับสมัคร สส. สรุปยอดผู้สมัครแบบแบ่งเขต 3,526 คน แบบบัญชีรายชื่อ 1,570 คน พรรคการเมืองส่งแคนดิเดตนายกฯ 94 คน เตรียมส่งรายชื่อตรวจสอบคุณสมบัติเข้ม ย้ำ กทม. เขต 33 เปลี่ยนผู้สมัครได้ เหตุขาดคุณสมบัติ

วันนี้ (31 ธ.ค.68) ว่าที่ร้อยตรีภาสกร สิริภคยาพร รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง สรุปผลการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ หลังปิดรับสมัครรับเลือกตั้งในวันสุดท้าย โดยการรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต ทั้ง 400 เขต มีผู้สมัครรวม 3,526 คนจาก 60 พรรคการเมือง ส่วนการรับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ มีพรรคการเมืองส่งรายชื่อผู้สมัคร 57 พรรคการเมือง ทั้งหมด 1,570 คน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 43 พรรคการเมือง รวม 94 คน เขตที่มีผู้สมัครมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร เขต 33 จำนวน 19 คน ส่วนผู้สมัครที่มีอายุมากที่สุด คือ 90 ปี

ว่าที่ร้อยตรีภาสกร กล่าวอีกว่า หลังจากนี้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะทำการตรวจสอบ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม โดยจะส่งให้ 26 หน่วยงานร่วมกันตรวจสอบข้อมูล ก่อนจะส่งกลับมายังคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตและคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง เพื่อประกาศรายชื่อผู้สมัครการเลือกตั้งภายใน 7 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 7 ม.ค.69

หากกรรมการการเลือกตั้ง หรือผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตไม่ประกาศรายชื่อผู้สมัครคนใดเป็นผู้สมัคร ผู้สมัครคนดังกล่าวสามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ไม่ประกาศรายชื่อ โดยศาลฎีกา จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสามวัน

กรณีที่วันที่ 7 ม.ค.69 มีการประกาศรายชื่อผู้สมัครเรียบร้อยแล้ว หากมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งหรือผู้สมัครคนใดเห็นว่าผู้ที่ได้รับการประกาศรายชื่อไม่มีสิทธิ์ได้รับการสมัครให้สามารถยื่นคำร้องคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีการประกาศรายชื่อ เพื่อให้ กกต. ยื่นถอนสิทธิ์การสมัคร และผู้สมัครที่ถูกร้องสามารถยื่นขออุทธรณ์ได้ภายใน 3 วัน

กรณีก่อนวันเลือกตั้ง หากผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขต หรือ กกต. ตรวจสอบพบผู้สมัครคนใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม กกต จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อถอนชื่อผู้สมัครรายดังกล่าวออกจากประกาศบัญชีรายชื่อ

ส่วนผู้สมัครที่ขาดคุณสมบัติ หากรู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติยังลงสมัครรับเลือกตั้งหรือให้พรรคการเมืองเสนอชื่อ จะต้องถูกดำเนินคดี มีโทษจำคุก 1 ถึง 10 ปี ปรับ 20,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี แต่กรณีนี้ถือว่าเป็นความผิดเฉพาะตัวของผู้สมัคร ไม่มีความผิดถึงพรรคการเมือง หรือนายทะเบียนพรรคการเมือง

ว่าที่ร้อยตรีภาสกร ย้ำว่า หน่วยงานตรวจสอบทั้งศาลยุติธรรมและอีกหลายหน่วยงานมีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นข้อมูลครอบคลุม เชื่อว่ากระบวนการตรวจสอบจะมีประสิทธิภาพพอสมควร ส่วนกรณีเกิดเหตุการณ์มีคนใส่เสื้อผ้าการเมืองแล้วเดินแจกเงินถูกเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดีย ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบข้อมูลว่ามีการกระทำความผิดกฏหมายเลือกตั้งจริงหรือไม่ ซึ่งต้องเข้าสู่กระบวนการสืบสวนไต่สวน

ย้ำว่ากรณีผู้สมัครรับเลือกตั้งเขต 33 ที่มีการเปลี่ยนตัวเนื่องจากคนเดิมถูกดำเนินคดีฟอกเงิน แต่เบื้องต้นผู้สมัครคนดังกล่าวได้ยื่นลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองแล้วนั้นเท่ากับว่าขาดคุณสมบัติ ทำให้พรรคการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงตัวผู้สมัครใหม่ได้

นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาเรื่องการทำลายป้าย ป้ายหาเสียงฝ่ายตรงข้าม ถือเป็นความผิด อาญาเฉพาะตัว การทำให้เสียทรัพย์ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ หากผู้สมัครคนใดจ้างผู้รับเหมาไปติดป้ายหาเสียง แล้วผู้รับเหมาติดป้ายหรือทำลายป้ายของคู่แข่ง โดยที่ผู้สมัครคนดังกล่าวไม่รับรู้ ก็สามารถแจ้งความเอาผิดกับผู้รับเหมารายดังกล่าวได้เช่นกัน