ตำรวจไซเบอร์ รวบแล้ว หนึ่งในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจ หลอกหมอ และนักธุรกิจโอนเงิน เสียหายกว่า 100 ล้านบาท แฉพฤติการณ์สุดแสบ
รวบหนึ่งในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย หลอกหมอ และนักธุรกิจโอนเงิน (25 เม.ย.66 ) 0. ที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต .ท.วรวัฒน์ วัฒน์จนครบัญชา ผบช.สอท และ พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. แถลงข่าว รวบแก๊งคอลเซนเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย หลอกให้ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นคุณหมอ จังหวัดชุมพร และนักธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ โอนเงินมาตรวจสอบ โดยมีการข่มขู่ว่าหากไม่โอนจะดำเนินการออกหมายจับ
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้รับคำร้องทุกข์จากคุณหมอจังหวัด ชุมพร และนักธุรกิจประกอบกิจการพลังแสงอาทิตย์ ได้ถูก แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสารวัตร ทำหน้าที่พนักงานสอบสวน สภ เมืองเชียงราย แจ้งว่าให้ผู้เสียหายทั้งสองโอนเงินในบัญชีธนาคารของ ผู้เสียหายมาเพื่อตรวจสอบ เนื่องด้วยมีการส่งพัสดุผิดกฎหมาย และข่มขู่ว่าถ้าไม่มีการโอนเงินมาตรวจสอบจะดำเนินการออกหมายจับผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อโดย ผู้เสียหายที่เป็นคุณหมอจากจังหวัดชุมพร โอนเงินไปจำนวน 101 ล้านบาท ส่วนผู้เสียหายนักธุรกิจประกอบกิจการพลังงานแสงอาทิตย์ โอนเงืนไป 42 ล้านบาท รวมความเสียหายทั้งหมด 143 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 24 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท1 ชุดจับกุมตัวผู้ต้องหา คือ นายนวกรหรือขุน วงกระจ่าง ได้ที่ ซอยเพชรสุวรรณ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม โดยเแจ้งข้อหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์การอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ และร่วมกันฟอกเงิน”
โดยนายนวกร ผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ขบวนการทั้งหมดจะมี 3 สาย ในการโทรหลอกลวงเหยื่อ สายแรก จะเป็นการสุ่มเบอร์โทรเลือกเหยื่อที่น่าจะมีความเป็นไปได้ว่า หลงกลอุบาย ซึ่งเมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะโอนมายังสายที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนของตนเองที่ทำหน้าที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการชี้แจงข้อกฎหมายที่เหยื่ออาจจะถูกดำเนินคดี โดยมีสคริปต์ที่เตรียมเอาไว้แล้ว ก่อนจะโอนสายไปยังสายที่ 3 ซึ่งเป็น "สายเชือด" ที่จะหลอกให้เหยื่อโอนเงินมาให้ โดยจะได้รับ 4 เปอร์เซ็นต์จากเงินที่หลอกเอามาได้ ซึ่งไม่รวมกับเงินเดือน ส่วนเงินที่เหลือจะเข้าสู่ระบบของขบวนการ โดยนานนวกรเปิดเผยต่ออีกว่าหัวหน้าเครือข่ายเป็นชาวไต้หวัน และมีคนไทยเป็นลูกมือ ซึ่งหากทำผลงานไม่ได้ตามเป้า หรือมีพฤติกรรมต่อต้าน จะถูกทำร้ายร่างกาย หรือหนักสุดบางคนอาจถูกขายต่อไปให้กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตนยอมรับอีกว่า ได้ทำการหลบหนีออกมาจากเครือข่ายนี้ กลับมาในประเทศประเทศไทยเนื่องจากหมดสัญญา ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุม
นอกจากนี้ยังฝากเตือนถึง คนที่จะไปทำงานในลักษณะแบบนี้ว่า ถ้าเห็นงานที่มีรายได้สูงเกินจริงให้สันนิษฐานว่าอาจถูกหลอกลวงไปทำงานแบบนี้ได้ เพราะในความเป็นจริงงานที่มีค่าตอบแทนสูงไม่มีอยู่จริง