องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง สุเทพและพวก คดีสร้างโรงพัก ลั่น ไม่หวนคืนการเมือง

องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง สุเทพและพวก คดีสร้างโรงพัก ลั่น ไม่หวนคืนการเมือง

View icon 110
วันที่ 22 ส.ค. 2566 | 16.38 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง สุเทพและพวก คดีสร้างโรงพัก ลั่น ไม่หวนคืนการเมือง มองเรื่องบ้านเมือง สามารถเปลี่ยนใจทำงานร่วมกันได้ หากยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติ

วันนี้ (22 ส.ค.66) ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อม.อธ.11/2565 ที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1— ตามลำดับ กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดแทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)

โดย ป.ป.ช.โจทก์ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย.52 - 18 เม.ย.56 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว โดยจำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา และมีจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคาไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติดังกล่าว และนำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด

คดีนี้ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.65 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาเเล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิด ยกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน ต่อมา ป.ป.ช.โจทก์ ยื่นอุทธรณ์คดี

โดยวันนี้จำเลยทุกคนเดินทางมาศาล พร้อมทนายความ

ศาลฎีกาฯ อ่านคำวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์แล้วเห็นว่า นายสุเทพ และจำเลยรวม 6 คน ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน โดยคำวินิจฉัย เห็นว่า มติของ ครม.ที่อนุมัติโครงการนี้ มีการระบุเพียงตัวโครงการและงบประมาณที่ใช้ก่อสร้าง ไม่ได้ระบุถึงวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง จึงไม่มีผลผูกพัน เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่ขออนุมัติโครงการไปกำหนด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนมติ ครม. การกระทำของจำเลยทั้งหมดจึงไม่มีความผิด

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสุเทพ เผยว่า ศาลฎีกาฯ ในชั้นอุทธรณ์ มีคำพิพากษาว่า ตนและจำเลยคนอื่นๆ ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟ้อง ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา ถือว่าคดีถึงที่สุด ใครที่เคยกล่าวหาสงสัยตนมาเป็น 10 ปี วันนี้ก็ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างชัดเจนแล้ว ซึ่งตนภูมิใจในชีวิตที่เป็นนักการเมือง ไม่เคยทำทุจริต ไม่เคยคอร์รัปชันใดๆ แม้จะถูกรุมใส่ร้าย ด้วยความตั้งใจที่จะเล่นงานตนเอง ท้ายที่สุดกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ก็ให้ความเป็นธรรมกับตน สมกับที่ตนเคารพในหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เคารพในศาลยุติธรรม จึงคิดว่ากรณีนี้ เป็นอุทาหรณ์ที่ผู้ใช้อำนาจทั้งหลาย ควรจะต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง คนที่ควรจะต้องรับผิดชอบอย่างยิ่งวันนี้ คือคณะกรรมการ ป.ป.ช.

เมื่อถามว่ามองไปถึงขั้นตอนการฟ้องร้องหรือเรียกร้องให้เกิดการเยียวยา ในความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า  ตนไม่สนใจ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะไปเรียกร้อง แต่จะปรึกษากับที่ปรึกษากฎหมาย ถ้ามีช่องทางที่จะดำเนินคดีกับ ป.ป.ช. ได้ จะดำเนินคดี แต่ไม่ใช่ความโกรธเคืองแต่อย่างใด

เมื่อถามว่า หลังจากนี้ถ้าถูกทาบทาม จะหวนคืนสู่เส้นทางทางการเมืองหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ครับ เมื่อตัดสินใจ ออกจาก สส. มาเดินนำขบวน ตนก็ได้ประกาศกับพี่น้องประชาชนแล้ว ตนไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ตนทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นไม่เอาชื่อเสียงความสำเร็จและผลพลอยได้ โอนมาเป็นคะแนนเสียงของตัวเองในทางการเมือง ขนาดตนประกาศอย่างนี้และเลือกตั้งมา 2 ครั้ง ก็ยังมีคนมาด่าตนอยู่ทุกวัน แต่ก็ต้องอดทน พี่น้องประชาชนที่สนใจการเมือง หรือนักการเมืองดีๆ ก็ดูกรณีของตน และบอกตัวเองว่าให้อดทนดีที่สุด

เมื่อถามว่าสถานการณ์การเมืองตอนนี้อย่างไรบ้าง นายสุเทพ กล่าวว่า การเมืองไม่มีนิ่ง ซึ่งเป็นธรรมชาติของการเมือง แต่ว่าเราทุกคนต้องมีความตั้งใจดีต่อบ้านเมืองเป็นหลัก จุดมุ่งหมายของเราได้ทำการเมืองเพื่อให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัย ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมใจเป็นหลักประกันแห่งความมั่นคง ซึ่งตนมองเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นการมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ทั้งนี้ ตนขอชื่นชมพี่น้องส่วนใหญ่ ยังคงยึดมั่นและรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และนี่จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของประเทศไทย ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน

เมื่อถามว่า มองอย่างไร ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ที่จับมือกัน ทั้งที่ผ่านมาอยู่คนละขั้วกัน นายสุเทพ กล่าวว่า เราอย่ายึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นคนละขั้วกัน เรามีความคิดต่างกัน เราไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ อย่าเอาอารมณ์แบบนี้มาพิจารณาเรื่องของบ้านเมือง ไม่ว่าฝ่ายใดก็แล้วแต่ สามารถเปลี่ยนใจมาทำงานร่วมกันได้ เพียงแค่ยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ช่วงท้ายนายสุเทพบอกว่า ระหว่างที่ขึ้นฟังคำอ่านพิพากษาของศาลฎีกา ไม่ได้เจอกับนายทักษิณ ก่อนจะหัวเราะแล้วบอกว่า “เขาไม่เอามาเจอกันหรอกครับ”