นักล่าสมบัติโบราณโพสต์ขายในโซเชียล กองปราบตามจับ 3 คน เจอของกลางกว่า 1,000 ชิ้น เงินหมุนเวียน 3 ปี นับ 10 ล้าน เจอเอาผิด พ.ร.บ.โบราณสถานฯ
จับนักล่าสมบัติโบราณ (4 ก.ย.2566) ตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับ นายมนตรี ธนภัทรพรชัย ผู้อำนวยการกลุ่มงานโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย และ นายชินณวุฒิ วิลยาลัย ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากร เข้าตรวจค้น จำนวน 9 จุด ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, ลำปาง, พะเยา และสุโขทัย ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย
1. นายทศพรฯ อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2759/2566 ลง 28 สิงหาคม 2566 จับกุมได้ในพื้นที่ ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
2. นายทศพลฯ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2760/2566 ลง 28 สิงหาคม 2566 จับกุมได้ในพื้นที่ ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
3. นายศรีออนฯ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2761/2566 ลง 28 สิงหาคม 2566 จับกุมได้ในพื้นที่ ต.ท่าวังทอง อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา
โดยกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “เป็นผู้เก็บได้ซึ่งโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ที่ซ่อนหรือฝังหรือทอดทิ้งโดยพฤติการณ์ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้และเบียดบังเอาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุนั้น เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย และ จำหน่าย เอาไปเสีย ซึ่งโบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุ โดยผิดกฎหมาย”
พร้อมตรวจยึดของกลาง
1. เครื่องสแกนโลหะ 11 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์การขุด
2. สิ่งของคล้ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ จำนวน 970 ชิ้น
3. สมุดบัญชีธนาคาร 4 เล่ม
สืบเนื่องมาจากตำรวจสอบสวนกลาง โดย กก.4 บก.ป. ได้รับแจ้งเบาะแสจากกลุ่มผู้อนุรักษ์โบราณวัตถุ ว่ามีกลุ่มบุคคลลักลอบขุด ค้า โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ โดยมีการนำโบราณวัตถุต่างๆ มาเสนอขายผ่านช่องทางออนไลน์โดยผิดกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร
จากการตรวจสอบพบบัญชีเฟซบุ๊กของกลุ่มผู้ต้องหา ลงโพสต์ภาพการขุดค้นหาโบราณวัตถุ พร้อมประกาศขายสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุจำนวนหลายรายการ ตำรวจจึงติดต่อซื้อสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุดังกล่าว โดยเมื่อทางเจ้าหน้าที่ได้รับสิ่งของคล้ายวัตถุโบราณมาแล้ว ได้มีการส่งตรวจพิสูจน์ที่สำนักศิลปากร กรมศิลปากร ผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุดังกล่าวเป็นโบราณวัตถุตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) จริง ซึ่งตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ห้ามมิให้มีการขุด ค้นหา หรือซื้อขายโบราณวัตถุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
โดยตำรวจสืบสวนพบว่า กลุ่มคนร้ายมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน โดยผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นพี่น้องกัน โพสต์ภาพผ่านทางเฟซบุ๊กขณะไปร่วมกันขุดหาโบราณวัตถุตามสถานที่ต่าง ๆ หลังจากนั้นจะนำโบราณวัตถุต่าง ๆ มาประกาศขายผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยในภาพที่ผู้ต้องหาโพสต์ยังปรากฏบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมกันขุดหาสิ่งของโบราณวัตถุกับผู้ต้องหา ตำรวจจึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และขอศาลออกหมายจับผู้กระทำความผิดจำนวน 3 หมายจับ พร้อมขอศาลออกหมายค้นสถานที่ที่เชื่อว่าน่าจะมีการซุกซ่อนโบราณวัตถุหรือสิ่งของต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของผู้กระทำความผิด พบมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 200,000 บาท และมียอดเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 10 ล้านบาท ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ตำรวจ กก.4 บก.ป. จึงวางแผนพร้อมประสานความร่วมมือกับกรมศิลปากร บูรณาการร่วมกันตรวจค้นสถานที่เป้าหมายซึ่งเป็นที่พักอาศัยของผู้ต้องหาตามหมายจับและเป็นสถานที่เชื่อว่ามีการซุกซ่อนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, พะเยา, สุโขทัย และลำปาง รวม 9 จุด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้จำนวน 3 ราย พร้อมทั้งตรวจยึดสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ รวมจำนวนกว่า 1,000 ชิ้น
จากการสอบคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3 ให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป