สนามข่าว 7 สี - พูดได้เลยว่าข่าวนี้ยังขึ้นหน้าหนึ่งได้ตลอดทั้งอาทิตย์นี้ เพราะมีเส้นเรื่องที่ต้องบอกว่า ยิ่งตามก็ยิ่งรู้สึกเศร้า กับเหตุเด็กอายุ 14 ปี กราดยิงผู้บริสุทธิ์ในห้างสยามพารากอน ตอนนี้มีผู้ต้องหาเพิ่มมาอีก 4 คน เกี่ยวพันในฐานะเป็นผู้ขายแบลงก์กัน ทูตมรณะที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม มีผู้สูญเสียชีวิตถึง 2 คน
รวบคนขายแบลงก์กัน ทูตมรณะคร่า 2 ชีวิต
มาดูเส้นทางแบลงก์กัน ว่าไปถึงมือเด็กชายอายุ 14 ปี จนนำไปก่อเหตุร้ายกลางกรุงได้อย่างไร ไล่เรียงให้เห็นชัด ๆ จากกราฟิกบนหน้าจอ เริ่มจากเด็กชายสั่งซื้ออาวุธปืนทางอินเทอร์เน็ต ทดลองสั่งซื้อกระสุนปืน ขนาด 9 มม.หลายนัด ในราคาประมาณ 1,000 บาท ก่อน เพราะกลัวว่าสั่งไปแล้วจะถูกหลอก กระทั่งได้รับพัสดุส่งไปให้ที่คอนโดมิเนียมย่านสาทร จึงสั่งซื้ออาวุธปืนแบลงก์กันที่ผ่านการดัดแปลงสามารถใช้งานได้จริง 1 กระบอก ราคา 16,000 บาท แต่เพราะมีเงินไม่พอ ถึงกับดิ้นรนกู้ยืมผ่านแอปพลิเคชัน ก่อนจะโอนเงินสั่งซื้อ และได้รับปืนมาใช้ในการก่อเหตุในเวลาต่อมา
ซึ่งก็ต้องบอกว่าตำรวจทำงานเร็ว ให้คะแนนได้เต็มสิบแบบไม่หัก เพราะใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน ก็สามารถสืบจนเจอตัวคนที่ขายแบลงก์กันให้กับผู้ก่อเหตุ เริ่มจากตำรวจสืบสวนนครบาล ประสาน สน.ยานนาวา ออกหมายจับผู้ต้องหา 3 ราย และประสานกับตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดยะลา เข้าจับกุม นายสุวรรณพงศ์ อายุ 44 ปี และนายอัครวิชญ์ อายุ 22 ปี ลูกบุญธรรม ผู้ต้องหาที่ขายปืนให้เด็กชาย ได้ที่บ้านพักในตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา ยึดของกลางกระสุนปืนแบลงก์กัน 209 นัด ท่อเหล็กสำหรับดัดแปลงทำเป็นลำกล้อง 33 ท่อน สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย 2 เล่ม ซองบรรจุกระสุนปืนอีก 9 อัน เสื้อผ้าที่ผู้ต้องหาสวมใส่ตอนไปกดเงิน และของกลางอุปกรณ์ที่ใช้ในการดัดแปลงอาวุธปืนอื่น ๆ
นายหน้าค้าปืน เปิดปาก ได้ค่าตอบแทน 500 บาท
ตำรวจยังไล่ล่าจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับรายที่ 3 คือ นายปิยะบุตร อายุ 31 ปี คนขายกระสุนปืน ได้ที่ริมถนนพระรามที่ 3 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม พร้อมของกลางอาวุธปืนแบลงก์กัน 2 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ซึ่งกระบอกหนึ่งพกอยู่กับตัว ส่วนที่เหลืออยู่ในกระเป๋าสะพาย
จากการซักถามเจ้าตัวยอมรับว่า เป็นคนกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เพราะเคยสั่งซื้อมาแล้วได้ของจริง ส่วนใหญ่จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินไม่เกิน 500 บาท หรือถูกพาไปเลี้ยงอาหารเป็นค่าตอบแทน
บอกไปแล้วตั้งแต่ต้นว่าเรื่องนี้ ยิ่งตาม ยิ่งรู้ ก็ยิ่งเศร้า อย่างนายปิยะบุตร เป็นนายหน้าได้ค่าตอบแทนไม่เกิน 500 บาท แต่ผลกระทบที่ตามมาจากการกระทำของเขา คือ ความสูญเสียคนที่รักของสองครอบครัวไปแบบไม่มีวันกลับ
รวบ โอ ยี่เรือ มือดัดแปลงแบลงก์กัน ขายไม่เลือกหน้า แลกเงิน
ผู้ต้องหา 3 คนแรก สรุปกันอีกที มีสองพ่อลูกคนขายแบลงก์กัน กับอีกคนเป็นนายหน้ากินหัวคิว แต่ยังไม่จบเท่านี้ ตัวละครสำคัญที่ทำให้แบลงก์กัน กลายเป็นมัจจุราชคร่าชีวิตผู้คนได้ คือ นายวีระยุทธ์ หรือ โอ ยี่เรือ ถูกจับกุมคาบ้านพัก พร้อมของกลาง 48 รายการ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ในการดัดแปลงอาวุธปืน อุปกรณ์เสพยาเสพติด เป้าสำหรับการซ้อมยิงปืน ชิ้นส่วนอาวุธปืนแบลงก์กัน
โดย นายวีระยุทธ์ ให้การว่า มีความรู้จากการเป็นช่างยนต์ และเคยซ่อมปืนบีบีกันให้เพื่อนมาก่อน จึงเริ่มสนใจทำธุรกิจรับทำอาวุธปืนเถื่อน มีรายได้จากการผลิตประมาณ 30,000 บาท นำเงินไปใช้จ่ายและซื้อยาเสพติดเสพ ส่วนการตรวจสอบประวัติ พบเคยถูกจับกุมปี 2558 คดีครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย และคดีครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพในปีเดียวกัน ไปฟังเสียงพลตำรวจตรี ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ว่าทำไมถึงสาวไปถึงตัวนายวีระยุทธ์ได้
สำหรับ โอ ยี่เรือ เรียกว่ามีความลึกลับ หรือนิรนามเลยก็ว่าได้ แม้จะเป็นคนดัดแปลงแบลงก์กัน แต่คนซื้อจะไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของคนสร้างอาวุธชิ้นนี้คือใคร เพราะจะเร้นกายอยู่ในดาร์กเว็บเท่านั้น และเมื่อมีการซื้อขาย ก็จะผ่านพ่อค้าคนกลาง รวมถึงใช้บัญชีม้าในการรับโอนเงินด้วย และไม่สนใจเลยด้วยว่าใครจะเป็นผู้ซื้อ จะอายุมากหรือน้อย ประกอบอาชีพอะไร ไม่มีผล ขอเพียงแค่มีเงินจ่าย ก็จบดีล
ทีมข่าวของเราสอบถามเพื่อนบ้าน ได้รับคำบอกเล่าว่า โอ ยี่เรือ จะไม่พูดคุยสุงสิงกับใครเลย จะได้เห็นหน้าก็ต่อเมื่อเขาออกไปซื้อข้าวเท่านั้น
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ที่ถูกจับกุม ตำรวจได้พาตัวกลับไปสอบสวนต่อที่ สน.ยานนาวา โดย พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปติดตามฟังผลสรุปการขยายผลจับกุมดังกล่าว ก่อนมอบหมายให้ พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สรุปผลการสอบสวนผู้ต้องหา ระบุว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในจังหวัดยะลา ให้การภาคเสธ รับว่าประดิษฐ์อาวุธปืนส่งขายมานาน 1-2 ปี อ้างว่าไม่ทราบว่าคนซื้อเป็นเด็กชายอายุ 14 ปี และเชื่อว่าปืนที่ใช้ในการก่อเหตุไม่ได้มาจากตนเอง
ปืนเกลื่อนโลกออนไลน์ ซื้อง่ายขายคล่อง เฉลี่ยวันละ 100 กระบอก
จากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายอาวุธปืนดัดแปลงบนโลกออนไลน์ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตำรวจพบว่าแต่ละวันจะมีคนซื้อขายปืนเฉลี่ยมากถึงวันละ 100 กระบอก ซึ่งจะได้สืบสวนขยายผล เพื่อหาให้ได้ว่าปืนที่มีการซื้อขายกัน มาจากที่ใด และผู้ซื้อนำไปใช้ทำอะไร ส่วนสนามยิงปืนที่เป็นสนามซ้อมความแม่นยำของผู้ก่อเหตุ ตำรวจได้เชิญเจ้าของสนามซ้อมยิงปืนมาสอบปากคำแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
ทบ. เต้นสอบ จนท.ปล่อยเด็กอายุ 14 ปี เข้าสนามยิงปืน ร.ด.
รายงานข่าวจากกองทัพบก เปิดเผยว่า ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบสนามยิงปืนของหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ทำรายงานชี้แจงข้อเท็จจริง หลังมีภาพข่าวเสนอว่า เด็กชายอายุ 14 ปี ที่ก่อเหตุกราดยิงในสยามพารากอน มาใช้บริการที่สนามแห่งนี้ เพื่อรายงานผู้บัญชาการทหารบกแล้ว
มีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสอบสวน พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ให้การตรงกันทั้ง 6 ปาก ว่า พฤติการณ์การก่อเหตุ จะยิงเป็นชุด ชุดละ 3-4 นัด ประมาณ 3-4 ครั้ง ไล่ตั้งแต่ชั้น G ชั้น M ไปจนถึงชั้น 1 เรียกว่ายิงแบบไม่เลือกหน้า แต่ไม่มีการไล่ล่า ใครเคราะห์ร้ายไปเจอจะ ๆ ก็จะถูกเลือกเป็นเป้า
และสาเหตุที่หยุดยิง คาดว่าน่าจะมาจากผู้ที่อยู่ในห้างได้หนีหาที่หลบซ่อนตัวกันหมดแล้ว ทำให้ล็อกเป้าไม่ได้แล้ว ก่อนจะไปกบดานอยู่ชั้น 2 จนยอมมอบตัวกับตำรวจ หลังก่อเหตุสะเทือนขวัญไปราวครึ่งชั่วโมง นอกจากนี้ตำรวจพบด้วยว่า ผู้ก่อเหตุลืมกระสุนปืนอีกจำนวนหนึ่งไว้ในห้องน้ำ ที่ถูกใช้เป็นสถานที่บรรจุกระสุนก่อนก่อเหตุด้วย เรียกว่าตุนกระสุนไปแบบเต็มพิกัดเลย
หมอเฉลิมชัย เทียบคดีสหรัฐฯ เด็กอายุ 15 ปี ถูกจำคุกเหมือนผู้ใหญ่
เด็กผู้ชายอายุ 14 ปี พกปืนพร้อมกระสุนจำนวนมากไปห้างสรรพสินค้า ถ้าจะบอกว่าไม่มีเจตนาก่อเหตุ เกิดอาการหูแว่ว จนกลายเป็นโศกนาฏกรรม จะเป็นไปได้จริงหรือ
เรื่องนี้ คุณหมอเฉลิมชัย บุณยะลีพรรณ สมาชิกวุฒิสภา ก็ตั้งข้อสังเกตไว้เหมือนกันว่า พฤติการณ์กระทำร้ายแรงจนผู้อื่นเสียชีวิต มีการเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่สมกับอายุที่เป็นเด็ก ทั้งฝึกซ้อมยิงจนชำนาญ ซื้อปืนดัดแปลง เตรียมกระสุนจำนวนมาก มีจุดหมายปลายทางชัดเจน แจ้งเพื่อนว่าจะก่อเหตุ สิ่งที่ต้องติดตามด้วยคือ ผู้ก่อเหตุอาจไม่ได้เป็นโรคจิต แต่มีสติปัญญาสูง สร้างสถานการณ์เพื่อให้ตนเองพ้นโทษก็ได้ โดยคุณหมอยังเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกาด้วยว่า ศาลเคยสั่งจำคุกเด็กอายุ 15 ปี ที่ฆ่าผู้อื่นเสียชีวิต ด้วยบทลงโทษที่ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่มาแล้ว
สำหรับบรรยากาศที่ห้างสยามพารากอน หลังเกิดเหตุเด็กอายุ 14 ปี ก่อเหตุกราดยิง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ยังคงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ยังคงเดินทางมาใช้บริการกันตามปกติ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของทางห้าง มีการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจค้นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางเข้าไปใช้บริการในตัวห้างฯ เพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันการก่อเหตุซ้ำรอย