ห้องข่าวภาคเที่ยง - การจับกุมคนที่ขายอาวุธปืน ให้เด็กชายอายุ 14 ปี ไม่ได้จบแค่ผู้ต้องหา 4 คน ที่จับกุมตัวได้เมื่อวานนี้ แต่ยังมีอีก 2 คน ที่ตำรวจกำลังไปขอศาลออกหมายจับ คนที่ขายปืน หรือกระสุนปืน ให้กับเด็กชายย้อนหลังไปก่อนหน้านี้
เริ่มจากความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ นายสุวรรณหงษ์ อายุ 44 ปี, นายอัครวิชญ์ อายุ 22 ปี คนขายอาวุธปืนดัดแปลงให้กับผู้ต้องหา และนายปิยะบุตร อายุ 31 ปี คนขายกระสุนปืน ที่ตำรวจ สน.ยานนาวา ไปขอศาลออกหมายจับกุม เพราะเกี่ยวข้องกับการขายอาวุธปืนและกระสุนให้กับเด็กชาย อายุ 14 ปี ที่ต้องสงสัยว่านำไปใช้ก่อเหตุกราดยิงที่ศูนย์การค้า สยามพารากอน
พันตำรวจเอก กันตภณ โพธิ์อ๊ะ ผู้กำกับการ สน.ยานนาวา บอกว่า เมื่อคืนเป็นการสอบปากคำภาพรวมคดีกราดยิง ที่ร่วมกับ สน.ปทุมวัน สอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ประเด็นเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เป็นคนขายอาวุธและกระสุนให้ผู้ต้องหานำไปก่อเหตุหรือไม่ ซึ่งก็ใช้เวลาเกือบตลอดทั้งคืน ส่วนคดีของ สน.ยานนาวา จะเริ่มสอบปากคำตั้งแต่เช้าวันนี้ไปจนตลอดทั้งวัน ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ไปขออำนาจศาลฝากขังในวันพรุ่งนี้ โดยในชั้นจับกุม นายสุวรรณหงษ์ และนายอัครวิชญ์ สองพ่อลูกบุญธรรม ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วน นายปิยะบุตร ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
โดยข้อมูลทางการสืบสวน พบว่า นายปิยะบุตร ขายกระสุนปืนให้กับผู้ก่อเหตุครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กันยายน เป็นกระสุนปืนขนาด 9 มม. 1 กล่อง ราคา 1,800 บาท ครั้งที่ 2 วันที่ 25 กันยายน ขายแม็กกาซีน หรือซองบรรจุกระสุน ราคา 1,020 บาท และครั้งที่ 3 วันที่ 1 ตุลาคม ขายกระสุนปืนขนาด จุด 380 1 กล่อง ราคา 2,820 บาท
ส่วนปืนแบลงก์กันที่สั่งซื้อ ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของ นายสุรรณหงษ์ ไปเมื่อวันที่ 21 กันยายน ก่อนที่เด็กชายผู้ก่อเหตุ จะได้รับพัสดุในวันที่ 27 กันยายน ซึ่งเด็กชายยังได้ส่งภาพไปให้ผู้ขายดู และคนขายได้ตอบกลับมาว่า "ขอให้สนุกกับของเล่นนะครับ"
ทีมข่าวยังได้รับข้อมูลจากตำรวจนครบาล ว่ามีพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ไปขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาอีก 2 คน ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายอาวุธปืนให้กับเด็กชายผู้ก่อเหตุ จึงสอบถามเรื่องนี้กับ พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งก็บอกได้แค่สั้น ๆ ว่าจะมีการออกหมายจับจริง เป็นการขยายผลจากเส้นทางการเงินที่เด็กชายโอนเงินไป ส่วนจะเป็นใคร อยู่ในพื้นที่ใด ยังเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้
ส่วนการขยายผลในพื้นที่จังหวัดยะลา พลตำรวจตรี เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา บอกว่า ต้องตั้งสำนวนการสอบสวนแยกออกมาเป็นอีก 1 คดี ยอมรับว่าในวันที่มีการจับกุม ตำรวจมีเวลาสอบปากคำน้อย เพราะต้องส่งตัวผู้ต้องหากลับไปพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีการออกหมายจับก่อน ส่วนพื้นที่ตนเองจะขยายผลเรื่องการซื้อขายอาวุธปืนประดิษฐ์ ในช่วง 1 ปี ตามคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ว่ามีการซื้อขายกับใครบ้าง เท่าที่ทราบเป็นการซื้อขายผ่านทางพัสดุไปรษณีย์ ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือกับภาคเอกชนในการสกัดพัสดุผิดกฎหมายด้วย
ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปที่บ้านพักของผู้ต้องหา และได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานของ นายสุวรรณหงษ์ เล่าให้ฟังว่า เพื่อนตนเองเป็นคนทำงานดี ขยันทำงาน เพื่อนไม่ค่อยรู้เรื่องเทคโนโลยี โทรศัพท์ยังเล่นไม่เป็น มีอะไรมักให้ภรรยาทำให้แทนเสมอ ปกติเพื่อนจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ชอบสังสรรค์ ไม่ดื่มสุรา หลังทราบข่าวว่าถูกจับกุม ก็ได้โทรไปสอบถามกับผู้อำนวยการกองช่างแห่งหนึ่ง ที่เพื่อนทำงานอยู่ ซึ่งก็บอกว่าจำเป็นต้องหยุดต่อสัญญา และพักงานไปก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ากระทำผิดจริงหรือไม่
เช่นเดียวกับนายจ้างของนายอัครวิชญ์ ที่ยอมรับว่าผู้ต้องหาเป็นคนขยันทำงาน เป็นคนซื่อสัตย์ต่องาน ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ พอรู้ข่าวตนเองรู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าจะทำผิดกฎหมายหากไม่เห็นข่าวนี้
สำหรับการสื่อสารเหตุการณ์กราดยิงไปยังคนทั่วโลก ตำรวจท่องเที่ยวได้จัดทำคลิปแถลงการณ์ 3 ภาษา คือ ภาษาไทย จีน และอังกฤษ กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อเหตุการณ์ที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ยืนยันว่าคนไทยทุกคนก็รู้สึกเศร้าใจ และเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปัจจุบันผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ได้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ซึ่ง นายกรัฐมนตรีฯ และผู้บริหารทุกภาคส่วน ได้ให้ความใส่ใจไปเยี่ยมเยียน และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งคลี่คลายสถานการณ์ จับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่ง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จะคอยรายงานความคืบหน้าไปยังผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศแบบนาทีต่อนาที ยืนยันที่จะถอดบทเรียน สร้างมาตรการที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีกในอนาคต
วิงวอนไปยังพี่น้องคนไทยและนักท่องเที่ยวทุกมุมโลก กรุณาอย่าส่งข้อความ หรือข่าวที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งจะกระทบต่อความรู้สึกของผู้ได้รับบาดเจ็บ ครอบครัวผู้สูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้อีก หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ติดต่อได้จากหน่วยราชการในประเทศของท่าน หรือจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือสถานทูตไทย ก็ได้
สำหรับเรื่องการเยียวยาผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กราดยิงดังกล่าว มีผลออกมาจากที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี แล้ว โดยที่ประชุมมีมติช่วยเหลือ กรณีเสียชีวิต รายละ 1 ล้านบาท กรณีทุพพลภาพ รายละ 700,000 บาท กรณีบาดเจ็บสาหัส รายละ 200,000 บาท และกรณีบาดเจ็บเล็กน้อยไม่สาหัส รายละ 100,000 บาท ยืนยันเป็นการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และเกิดภาพลักษณ์ที่ดีกับการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินเยียวยาช่วยเหลือของหน่วยงานราชการอื่นแต่อย่างใด