เปิดใจแรงงานไทยในอิสราเอล อยู่ใกล้จัดสู้รบเพียง 30 กิโลเมตร ถูกกลุ่มฮามาสไล่ยิงในห้องพักแคมป์คนงาน ก่อนจุดไฟเผา กลับถึงแผ่นดินไทย “เหมือนตายแล้วเกิดใหม่”
(13 ต.ค.66) บรรยากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิ แรงงานไทยจากประเทศอิสราเอล กลุ่มที่ 2 เดินทางกลับถึงประเทศไทย เมื่อเวลา 17:00 น. ที่ผ่านมา โดยมีคนไทยที่รัฐบาลให้การดูแลเรื่องการเดินทางกลับ จำนวน 19 คน และซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมาเองอีกประมาณ 30 คน
ซึ่ง 1 ในแรงงานไทยได้เดินทางกลับ คือ นายสุริยัน กันตา หรือท็อป ได้ให้สัมภาษณ์เล่าถึงวินาทีเป็นวินาทีตาย ขณะเผชิญหน้ากับกลุ่มฮามาส เพราะที่พักแคมป์คนงานอยู่ใกล้กับจุดที่เกิดการปะทะประมาณ 30 กิโลเมตร ถูกกลุ่มฮามาสบุกเข้ามาในที่พัก ไล่เปิดประตูห้องพักทีละห้อง และมีการพูดภาษาไทยว่า “สวัสดี คนไทย” เพื่อเป็นหลอกล่อให้ออกไป หากเปิดเจอจะยิงให้ตาย ส่วนตนเองรอดมาได้ เพราะต้องล็อกห้องจากข้างใน และแอบหลบอยู่ใต้เตียงนอน แต่สุดท้ายต้องรอจังหวะพังประตูห้องออกมา เพราะแคมป์คนงานถูกเผา จนต้องวิ่งเท้าเปล่าเข้่ไปกลบซ่อนอยู่ในไร่ส้ม ไม่ได้ทรัพย์สินอะไรติดตัว
และภาพเหตุการณ์ขณะนั้น เห็นกระสุน เศษซากระเบิด ศพผู้คนล้มตายเกลื่อน เป็นภาพที่น่าหดหู่สะเทือนใจ ซึ่งยังเป็นภาพจำจนถึงตอนนี้ ที่ยังผวา ไม่กล้าอยู่ในที่มืด และเห็นวินาที แรงงานไทย สามี-ภรรยา ที่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน ยอมรับว่าเป็นเหตุการณ์ยิ่งกว่าในหนัง หลังจากที่รอดชีวิตมาได้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หลังจากที่กลับมาถึงประเทศไทย จะไม่กลับไปทำงานที่อิสราเอลอีก
ส่วนแรงงานไทย ชาวเชียงราย ยอมควักเงิน ออกค่าตั๋วเครื่องบินเอง เปิดใจว่า ค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับประเทศไทยครั้งนี้ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 50,000 บาท แม้จะไม่มีเงิน แต่ทางบ้านยอมกู้ยืม เป็นหนี้เป็นสิน เพื่อหาเงินรีบได้เดินทางกลับให้เร็วที่สุด เพราะหากรอการช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน จึงอยากให้รัฐบาลไทย ดูแลกลุ่มคนที่ ออกค่าเดินทางกลับเองด้วย เพราะเป็นผู้ประสบเหตุเช่นเดียวกัน
และอยากให้เร่งประสานนำศพของคู่เขย ที่ไปทำงานด้วยกัน และถูกยิงตายที่อิสราเอล กลับมาประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิดในจังหวัดเชียงราย เพราะตอนนี้ครอบครัวเป็นทุกข์อย่างมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะกลับไปทำงานที่อิสราเอลอีกหรือไม่เมื่อเหตุการณ์สงบ แรงงานบอกว่า ขอคิดดูก่อน