ชะลอซื้อเรือดำน้ำ ทร.เสนอเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกต 3 ระบบ จ่ายเพิ่ม 1 พันล้าน บิ๊กทิน ยันไม่เกี่ยวนโยบาย "เพื่อไทย" รอให้พร้อมค่อยจัดหา เผย จีน รับหลักการ แต่ไม่ 100%
วันนี้ (20 ต.ค.66) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงปัญหาเรื่องเรือดำน้ำขาดเครื่องยนต์ว่า กองทัพเรือพยายามหาทางออกและได้ข้อสรุปว่า จะเดินหน้ารับเครื่องยนต์ของจีน ซึ่งนายกฯ ไปเจรจาแล้ว แต่ไม่เป็นผล กองทัพเรือเสนอ 2 แนวทาง คือ 1.ขอเปลี่ยนรายการไม่เอาเรือดำน้ำ แต่ขอเป็นเรือฟริเกต 3 ระบบ สามารถต่อสู้ ทางอากาศ ผิวน้ำ ใต้น้ำ ส่วนราคาก็จะประมาณเรือดำน้ำ และ 2. ถ้าไม่ได้เรือฟริเกต ขอเป็นเรือ OPV เรือตรวจการณ์ระยะไกลทดแทน
ตนและรัฐบาลพิจารณาแล้วว่า ขอเลือกแนวทางที่ 1 คือเรือฟริเกต ซึ่งราคาสูงกว่าเรือดำน้ำ 1,000 ล้านบาท โดยจะนำเงินสร้างอู่เรือดำน้ำระยะที่ 3 ที่ยังไม่ทำสัญญา มาดำเนินการ ซึ่งไม่กระทบกับเงินงบประมาณ
สำหรับสมรรถนะของกองทัพรัฐบาลเห็นว่า เมื่อได้เรือฟริเกตมาเราก็สามารถปราบเรือดำน้ำได้ สมรรถนะของกองทัพเรือไม่เสียหายมาก แต่ยอมรับว่าหย่อนลงไปกว่าการมีเรือดำน้ำนิดหน่อย ซึ่งกองทัพเรือรับได้ อย่างไรก็ตาม กรณียังไม่จบ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องพูดคุยกันในรายละเอียดอีก เช่น เงินจ่ายไปทำอย่างไร หรือเทคโนโลยีอื่นๆ มีเงื่อนไขอะไร จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมา รวมทั้งข้อกฎหมายต้องคุยกันต่อไป แต่เบื้องต้นทางการจีนเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นความลำบากใจของไทย ซึ่งจีนเองก็ขอความเห็นใจเช่นกันว่าเขาถูกเบี้ยวเรื่องเครื่องยนต์เช่นกัน ดังนั้น ต่างคนต่างเห็นใจกันและยินดีที่จะหาทางออกให้กัน ซึ่งจีนรับแนวทางที่เราเสนอไปพิจารณา
เมื่อถามย้ำว่าสรุปเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกตจีนใช่หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า เราเสนอไปว่าขอเป็นเรือฟริเกต ส่วนโครงการเรือดำน้ำไม่ยกเลิก ไม่พับ ไม่ระงับ ให้ชะลอระยะหนึ่งเพื่อแก้ปัญหานี้ให้เสร็จ เมื่อได้เรือฟริเกตแล้วบวกกับเรือฟริเกตเดิมที่มีโครงการจัดหา ก็มาบวกเข้าไป ส่วนเรือดำน้ำก็เดินหน้าต่อไป วันใดที่มีความพร้อมประเทศมีความพร้อมก็ทำเรื่องนี้ต่อ
เมื่อถามย้ำว่าเลิกสัญญากับจีนหรือไม่ หรือเรือดำน้ำครึ่งลำที่ต่อไปแล้ว ก็รอไปก่อน นายสุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่การยกเลิกสัญญา แต่เป็นการปรับปรุงหรือเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ คือ ภายใต้ข้อตกลงเดิมจีทูจี ระหว่างรัฐบาลไทยและจีน ถ้าบรรลุ คือให้ระงับเรื่องเรือดำน้ำ แล้วมาเขียนข้อตกลงขึ้นใหม่ว่าจะเอาเรือฟริเกต
ส่วนเรือดำน้ำจีนก็เป็นความรับผิดชอบที่จีน จะไปทำอะไรก็แล้วแต่ ส่วนเงินที่ไทยจ่ายไปแล้ว ไทยเสนอว่าขอให้เป็นเคลมค่าเรือฟริเกต ราว 7 พันล้านบาท เมื่อหักลบกับที่ยังไม่ได้จ่าย อีก 6,000 ล้านบาท อาจต้องเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท ส่วนราคารวมของเรือฟริเกตลำใหม่ ทางจีนยังไม่ได้พูดเรื่องราคา แต่จากการศึกษาอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านก็ใกล้เคียงกัน จากนี้ต้องไปพูดในรายละเอียด คาดว่าจะพูดคุยกับจีนอีกครั้งประมาณเดือนพ.ย. ก่อนจะครบสัญญา ประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยจะส่งคณะทำงานไปเจรจา
เมื่อถามว่ามีโอกาสหรือไม่ที่จะเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเจ้าอื่นที่ไม่ใช่จีน นายสุทิน กล่าวว่า มันก็จะยุ่งยากหน่อย เพราะเป็นข้อตกลงและก็จ่ายเงินไปแล้ว ถ้าไปเอาเจ้าอื่น หรือถ้าจะเอาเจ้าอื่นก็คงเป็นรอบใหม่ ซึ่งยังไม่ระงับแต่รอบนี้ ขอเป็นเรือฟริเกตก่อน
เมื่อถามว่ามีอะไรรับประกันว่ากองทัพเรือจะได้เรือดำน้ำ นายสุทิน กล่าวว่า หลักประกันก็คือนโยบายของรัฐบาล ส่วนที่เคยพยายามมาหลายรอบแล้วแต่ไม่สำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจากที่รัฐบาลไม่อนุมัติให้ แต่เกิดจากข้อผิดพลาดของฝ่ายอื่น ที่ทำให้เราเดินไม่ถึงจุดหมาย ส่วนทางจีนก็แสดงความเห็นใจคือรับผิดชอบ หาทางออกให้ได้รับสิ่งทดแทน ซึ่งการจัดซื้อโครงการนี้เป็นจีทูจี หากทำตามสัญญาไม่ได้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อถามว่า กองทัพเรือ เป็นผู้ปฏิบัติรับได้ในเครื่องรถยนต์จีน ทำไมระดับรัฐบาลถึงรับไม่ได้ นายสุทิน ย้อนถามกลับว่าแล้วสังคมรับได้หรือไม่ เราต้องดูสังคมด้วย ทุกกระทรวงต้องพิจารณาหากใช้เม็ดเงินไม่คุ้มเสียประโยชน์
ถามย้ำว่า หากฟังกระแสสังคมมากเกินไปจะกระทบต่อความมั่นคงหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า เราไม่ได้เอาเรื่องสังคมไปเป็นประเด็นหลัก แต่เรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์ทางกองทัพเรือเองก็กังวล เพราะเครื่องยนต์จีนเราไม่เคยใช้ ที่อื่นก็ไม่เคยใช้ และยอมรับว่าเป็นเรื่องข้อกฎหมายด้วยที่ปฏิบัติยาก หากถ้ารับเครื่องยนต์จีนมาใครจะรับประกันหากเรื่องถึงศาล จะมีเรื่องตามมาอีกมาก และนำมาซึ่งความแตกแยกหรือเกิดปัญหาทางการเมืองอีก
เมื่อนักข่าว ถามว่าบิ๊กทินจมเรือดำน้ำใช่หรือไม่ นายสุทิน หัวเราะพร้อมกับระบุว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เป็นความเห็นทุกระดับ ซึ่งเราก็เห็นใจกองทัพเรือ และไม่คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอาถรรพ์ แต่เป็นเรื่องดำเนินการยาก ไม่ง่ายเหมือนตอนซื้ออย่างอื่น