วันนี้ (13 พ.ย.66) กฐิน แปลว่า "ไม้สะดึง" คือ กรอบไม้หรือไม้แบบ สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ และเป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้
ประเพณีการทอดกฐิน ประเพณีสำคัญประจำปี อยู่คู่กับพุทธศาสนิกชนมาแสนจัดขึ้นในช่วงหลังออกพรรษา ภายในกำหนด 1 เดือน ซึ่งวันออกพรรษา 2566 นี้ ตรงกับวันที่ 29 ต.ค.66
โดยคณะสงฆ์วัดหนึ่ง ๆ สามารถรับได้ครั้งเดียวในรอบปี ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 และจะต้องมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาครบ 5 รูป หากวัดใดมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาไม่ถึง 5 รูป จะต้องนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอื่น ๆ มาร่วมพิธีกรรมให้ครบ 5 รูปเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ครบองค์สงฆ์ตามพระวินัยบัญญัติ เป็นทานที่ถวายได้ภายในเวลาที่มีพระพุทธานุญาตกำหนด จึงมีอานิสงส์เป็นพิเศษในการทอดกฐิน
ปัจจุบันถวายผ้ากฐินในแง่การสนับสนุนผ้าไตรจีวร เพื่อใช้ในสังฆกรรมสำคัญของคณะสงฆ์ได้ถูกลดความสำคัญลงไป แต่กลับให้ความสำคัญกับบริวารของกฐินทานแทน เช่น เงิน หรือวัตถุสิ่งของ เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาถาวรวัตถุและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
ขณะที่ ทำจุลกฐิน มีน้อยแห่ง เพราะต้องใช้กำลังคนมาก และกำลังทรัพย์ต้องมากด้วย ดังนั้น สมัยโบราณจึงนับถือกันว่า การทำจุลกฐินมีอานิสงส์มาก เพราะต้องใช้ความอุตสาหะ พยายาม มากกว่ากฐินแบบธรรมดา (มหากฐิน)

จุลกฐิน คือ กฐินที่จัดทำผ้าไตรจีวรเพื่อเป็นผ้ากฐิน เริ่มตั้งแต่การนำฝ้ายมาปั่นกรอเป็นเส้นด้าย แล้วทอเป็นผืนผ้า ตัดเย็บและย้อมสีตลอดจนได้ทำการทอดถวายภายในวันนั้น โดยใช้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง จุลกฐินนี้มักทำกันเมื่อจวนจะหมดเขตกฐินกาลแล้ว หรือสิ้นสุดช่วงการทอดกฐิน


หลายๆ คนมักเข้าใจผิดคิดว่าจุลกฐินเป็นกฐินเล็ก แต่จริงๆแล้วจุลกฐินเป็นกฐินที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน แต่เต็มไปด้วยความละเอียดลออ และเต็มไปด้วยความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจของชุมชน โดยต้องทำการเก็บฝ้าย ทอฝ้าย ตัดเย็บเป็นผ้าไตรจีวร 1 ชุด ให้แล้วเสร็จ ก่อนจะนำไปถวายวัดในเช้าถัดไป

"จุลกฐิน" หรือ "กฐินแล่น" คือ คำเรียกการทอดกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบด่วน เป็นกฐินที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคนหมู่มาก ต้องเร่งรีบทำให้เสร็จ เลยเรียกว่า กฐินแล่น (เร่งรีบ ต้องแล่น(วิ่ง) จึงจะเสร็จทันกาล) เจ้าภาพผู้ที่จะคิดทำจุลกฐินเพื่อทอดถวาย ณ วัดใดวัดหนึ่ง จะต้องมีบารมี มีพวกพ้องคอยช่วยเหลือ เพราะต้องเริ่มจากการนำฝ้ายแก่ที่อยู่ในฝักและมีปริมาณมากพอที่จะทำเป็นจีวรได้ผืนใดผืนหนึ่ง ทำพิธีสมมติว่า "ฝ้ายจำนวนนั้นได้มีการหว่านแตกงอก ออกต้น เติบโต ผลิดอก ออกฝักแก่สุก เก็บมาอิ้วเอาเมล็ดออก ดีดเป็นผง ทำเป็นเส้นด้าย เบียออกเป็นไจ กรอออกเป็นเข็ด แล้วฆ่าด้วยน้ำข้าว ตากให้แห้ง ใส่กงปั่นเส้นหลอด ใส่กระสวยเครือแล้วทอเป็นแผ่นผ้าตามขนาดที่ต้องการนำไปทอดเป็นผ้ากฐิน"

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดสำนวนไทยเปรียบการทำงานที่ชุลมุนวุ่นวายเป็นโกลาหลเพื่อเร่งให้เสร็จทันตามกำหนดว่า "วุ่นเป็นจุลกฐิน"