คนขายขนมหวาน จำทนราคาน้ำตาลทราย ขึ้น 2 บาท จะขายแพงขึ้นก็กลัวลูกค้าหาย ครั้นจะลดปริมาณก็ไม่สมควร ลั่นยังดีที่ไม่ขึ้นถึง 4 บาท
วันนี้ (15 พ.ย. 66) ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวันที่ 14 พ.ย.66 ได้มีมติเคาะขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานอีกกิโลกรัมละ 2 บาท ตามที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 19-20 บาท ไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 21-22 บาท และปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำตาลทราย จากปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 24-25 บาท ไปอยู่ที่ กิโลกรัมละ 26-27 บาท ซึ่งก่อนหน้านั้น ทางคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ขอปรับขึ้นราคาน้ำตาล 4 บาท แต่ ครม.ได้ให้ขึ้นราคาเพียงกิโลกรัมละ 2 บาท ซึ่งเป็นการพบกันครึ่งทาง
ทีมข่าวลงพื้นที่พบกับบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ทำขนมหวานนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมฝอยทอง ทองยิบทองยอด ลูกเกตุ ขนมชั้น ขนมเปียกปูน และอื่นๆ กว่า 10 ชนิด ที่ตลาดสดอำเภอภูเขียว จ.ชัยภูมิ ทั้งนางจันทร์แก้ว ฝอยวารี อายุ 39 ปี และนายสังเวียน ไสยชาติ อายุ 58 ปี แม่ค้า พ่อค่าขายขนมหวานในตลาดภูเขียว ต่างบอกว่าพอรับได้ในการขึ้นราคาน้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 2 บาท แม้จะไม่อยากให้ปรับราคาให้สูงขึ้นเลย ดีกว่าขึ้นอีกกิโลกรัมละ 4 บาท ตามที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ขอปรับราคาทราย
ซึ่งในปัจจุบันขนมหวานคนกินน้อยลง ขายถุงหรือกล่องละ 10 บาท , 20 บาท ตามชนิดขนมหวาน เมื่อน้ำตาลทรายขึ้นอีกกิโลกรัมละ 2 บาท ก็คงขายในราคาเท่าเดิม ปริมาณเท่าเดิม หากปรับราคาขึ้น หรือลดขนาดลงกลัวว่าคนกินจะน้อยลงไปมากกว่านี้ ทำให้ขายขนมหวานในแต่ละวันไม่หมดเหลือกลับบ้านขาดทุน จึงขอขายในราคาเดิมเหลือกำไรน้อยลง ดีกว่าขายไม่หมดขายทุน
อย่างไรก็ตามพบว่าตามร้านโชหวย ในตลาดอำเภอภูเขียว เครื่องปรุงอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งซอสปรุงรส เต้าเจี้ยว กะทิกล่อง แป้งทอดกรอบ น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว และอื่นๆ เกือบทุกชนิด มีการปรับราคาขึ้นอีก 5 – 10 บาท จากราคาเดิม ทำให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูงขึ้น แม่ค้าทำอาหารสำเร็จรูปขายต่างบ่นต้นทุนในการทำกับข้าวถุงขายมีต้นทุนสูงขึ้น อยากให้กระทรวงพาณิชน์ ได้เข้ามาดูแลควบคุมราคาสินค้าตามร้านโชห้วยตามต่างจังหวัดด้วย เพื่อไม่ให้ร้านโชห้วยเหล่านั้นฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าเครืองปรุงรสต่าง ๆ สูงขึ้นเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค บริโภคด้วย.