ห้องข่าวภาคเที่ยง - ผลการสอบปากคำพยานที่เป็นกลุ่มเพื่อนของชาวเมียนมาที่เสียชีวิต และผลการรวบรวมพยานหลักฐาน ค่อนข้างชี้ชัดว่า เหตุที่ทำให้เกิดการฆาตกรรมชาวเมียนมา แล้วหั่นศพนำไปใส่ตู้แช่เย็น มาจากเรื่องที่ผู้เสียชีวิต และนายหน้าชาวอินเดียทะเลาะกัน เรื่องหางาน เหลือเพียงขั้นตอนการติดตามนำตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย
ไล่เรียงไทม์ไลน์ตามคำบอกเล่าของพยานแบบนี้ เริ่มจากชาวเมียนมาผู้เสียชีวิตและกลุ่มเพื่อน ตัดสินใจหนีเหตุความไม่สงบในเมียนมา มาหางานทำในไทย จนมาถึงด่านชายแดนวันที่ 11 มกราคม จากนั้น 12 มกราคม ทั้งหมดผ่านด่านชายแดน เข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย 13 มกราคม มาถึงย่านสีลม และไปรวมตัวกันที่บ้านหลังที่เกิดเหตุ 15 มกราคม มีการพูดคุยกับนายหน้าจัดหางาน ชาวอินเดีย ซึ่งรับปากจะหางานให้แลกกับค่าจ้างคนละ 7,000 บาท 19 มกราคม นายหน้าชาวอินเดียเรียกผู้ตาย เพราะมีอายุมากที่สุดไปคุยกันที่ชั้น 3 ส่วนที่เหลือถูกขังอยู่ในห้องครัวชั้น 1 หลังคุยกัน 30 นาที โดยมีนายหน้าได้กลับลงในสภาพเหนื่อย และมีสีหน้าไม่พอใจเพียงคนเดียว ก่อนที่นายหน้าจะพูดข่มขู่ว่า รู้จักกับตำรวจ ตม.หลายคน หากทำให้ไม่พอใจจะแจ้งตำรวจ และบังคับให้เพื่อนของผู้ตายทั้ง 5 คน นั่งรถไปที่บริษัทจัดหางานย่านสีลม แล้วปล่อยทิ้งไว้กลางทาง 19-20 มกราคม เพื่อนติดต่อผู้เสียชีวิตไม่ได้ ตัดสินใจพากันไปเยี่ยมเมื่อวันที่ 21 มกราคม แต่เห็นว่าประตูล็อก ประกอบกับเจ้าของตึกได้กลิ่นเหม็น อนุญาตให้งัดเข้าไปดู จึงพบว่าเพื่อนเสียชีวิต
พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงสรุปผลการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นได้ว่า ผู้ต้องหาน่าจะลงมือก่อเหตุในวันที่ 19 มกราคม มีผู้ร่วมก่อเหตุ 2 คน คือ นายเดวาซาร์ และนายปรากาเกซูมา มูลเหตุจูงใจมาจากเรื่องการทะเลาะกัน ระหว่างการรอหางาน เนื่องจากผู้เสียชีวิตเข้าไทยมาถึงที่พักได้ 4 วันแล้ว แต่ถูกขังอยู่แต่ภายในห้องครัว ไม่ได้ออกไปไหน จึงเหลือเพียงขั้นตอนที่ตำรวจจะประสานขอทางการอินเดีย ติดตามจับกุมตัว ส่งตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในไทย
สำหรับขั้นตอนการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน ส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย ตามกระบวนการจะเริ่มจาก พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี รวบรวมพยานหลักฐานที่ชี้ได้ว่าผู้ต้องหาหลบหนีไปต่างประเทศ ไปขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จากนั้นจึงประสานผ่านไปทาง กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ช่วยประสานตำรวจอินเทอโพล หรือตำรวจสากล พิจารณาออกหมายแดง แจกจ่ายไปยังตำรวจสากลที่มีประเทศสมาชิกอยู่ 190 ประเทศ ให้ช่วยออกตามหาผู้ต้องหา หากเจอตัวแล้ว และเป็นประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ตามปกติจะมีการประสานทางการประเทศนั้น ๆ ให้ช่วยควบคุมตัว และแจ้งทางการไทยให้ติดต่อขอรับตัวกลับไปดำเนินคดี ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะเป็นผู้ลงนามหนังสือประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุด ให้ทำเรื่องขอรับตัวผู้ต้องหา จากนั้น อัยการสูงสุดจะแจ้งกลับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดวันรับตัวผู้ต้องหาอีกที