สาวร้อง! ถูกหนุ่มใหญ่ อ้างเป็น รศ.ดร. ม.ชื่อดังหลอกยืมเงิน

View icon 77
วันที่ 5 เม.ย. 2567 | 16.23 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เจ้าของร้านหมอนวดช้ำใจ ถูกรุมใหญ่ อ้างตัวเป็นรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์ สอนอยู่ในมหาลัยชื่อดัง แถมยังเป็นทนายความ หลอกให้รัก วาดฝันชีวิตคู่ที่สวยงาม จากนั้นได้หลอกยืมเงินไป 150,000 บาท แล้วไม่ใช้ พอทวงเงินยังถูกทำร้ายร่างกายเธออีก

สาวรายนี้ชื่อว่า จอย นามสมมุติ เดินทางมาขอความช่วยเหลือกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ช่วยตรวจสอบหนุ่มใหญ่รายนี้ให้ทีว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ เพราะมีการลงรูปโพรไฟล์ในไลน์ว่าเป็นอาจารย์ของมหาลัยมหาลัยชื่อดัง แถมยังลงรูปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ดูมีความเชื่อถือว่าเป็นอาจารย์ และทนายความ

นางสาวจอย เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองเปิดร้านนวดแผนโบราณอยู่ย่านคูคต จังหวัดปทุมธานี ได้รู้จักกับหนุ่มใหญ่รายหนึ่งอ้างตัวว่าเป็น รองศาสตราจารย์ดอกเตอร์รพีพันธุ์ ใช้ชื่อเล่นว่า ดร.เชรฐ เมื่อเมษายน 2566 ได้มาใช้บริการนวดอยู่เป็นประจำ จากนั้นได้มีการสนิทสนมกัน หลังพูดคุยกัน 3 เดือน เรา 2 คนก็ตกลงคบหากัน ฝ่ายชายได้ย้ายมาอยู่กับตนที่ห้องพัก โดยฝ่ายชายอ้างว่าเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง มีตำแหน่งเป็นถึงรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์ สอนวิชา Ai และยังเป็นทนายความ และเปิดบริษัทขายแบตเตอรี่อยู่ย่านสายไหม ตนก็หลงเชื่อจึงฝากอนาคตไว้กับผู้ชายคนนี้ ที่หลงเชื่อเพราะฝ่ายชายจะออกไปทำงานในช่วงเช้า และจะกลับมาตอนเย็น ทำแบบนี้ทุกวัน และฝ่ายชายยังมีการลงรูปสถานที่ต่าง ๆ ในโซเชียล ให้ดูน่าเชื่อถือว่ามีหน้าที่การงานที่สูงจริง รูปโพรไฟล์ยังมีสัญลักษณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ช่วงแรกที่คบกัน ฝ่ายชายได้ซื้อแหวนทองให้ตน และยังซื้อโทรศัพท์มือถือให้ด้วย แถมยังไปที่บ้านที่เชียงรายของตน เพื่อจะดูที่ทางสร้างบ้านให้ใหม่ แล้วยังสัญญาว่าจะจดทะเบียนสมรสกับตน และบอกให้ตนออกจากงานที่ร้านนวดจะให้เงินเดือนตนเอง 50,000 บาท โดยไม่ต้องทำงานอะไร สิ่งนี้ทำให้ตนเชื่อใจ จึงออกจากงานทันที แล้วยกร้านนวดให้น้องสาวดูแลแทน แต่พอหลังออกจากงานแล้วปรากฏว่าฝ่ายชายไม่ได้ให้เงินเดือนอย่างที่กล่าวไว้ โดยอ้างว่าบัญชีถูกตำรวจอายัดไว้ตรวจสอบจากการทำไปทำคดียาเสพติดให้ลูกความ ตนก็หลงเชื่อ ไม่ให้เงินตนก็ไม่ว่าอะไร แต่ตนได้ขอกลับไปทำงานเหมือนเดิม

ต่อมา วันที่ 26 มกราคม 2567 ฝ่ายชายได้ขอยืมเงินตนเอง 150,000 บาท อ้างว่า มีคดีอยู่คดีหนึ่งที่ต้องทำ ต้องใช้เงินวางมัดจำ 600,000 บาท ขาดอีก 150,000 บาทถึงจะครบ และจะคืนเงินให้สิ้นเดือนมกราคม ตนก็หลงเชื่อให้เงินไป พอถึงวันนัดหมายฝ่ายชายก็ไม่คืนเงินให้ โดยขอผัดไปสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ตนเองก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ แล้วว่ามีหน้าที่การงานที่ดี แต่กลับไม่มีเงินใช้หนี้ตนเอง ตนจึงมีการทวงเงินอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีปากมีเสียงกันทุกครั้งที่ทวงเงิน จนช่วงเดือนมีนาคม ฝ่ายชายได้คืนเงินมา 20,000 บาท พอตนทวงถามเงินที่เหลือก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้ตนรู้สึกไม่มั่นใจที่จะฝากอนาคตไว้กับผู้ชายคนนี้ ตนจึงขอเลิกกับฝ่ายชาย หลังเลิกกันไปฝ่ายชายก็พยายามมาง้อขอคืนดี โดยเข้ามาที่ทำงานของตน บอกว่า จะนำเงินมาใช้หนี้และมีของมาให้ พอมาถึงก็ไม่ได้นำเงินมาคืนเลยมีปากมีเสียงกัน ฝ่ายชายได้ทำร้ายร่างกายตนเอง โดยบีบคอ แล้วชกเข้าที่หน้าของตนเองจนฟันโยก

หลังเกิดเรื่องตนเองได้ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรคูคต จังหวัดปทุมธานี แต่ตำรวจยังไม่สอบปากคำ และยังไม่ตรวจร่างกายอะไรเลย ตนจึงไปโรงพยาบาล ตรวจร่างกายเองไว้ไว้ก่อนเพื่อเป็นหลักฐาน ล่าสุดเมื่อช่วงบ่าย พอตำรวจรู้ว่านำเรื่องมาร้องสายไหมต้องรอด จึงเรียกตนเข้าไปที่โรงพัก และพึ่งส่งให้ไปตรวจร่างกาย

ต่อมาทางเราได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังฝ่ายชายที่อ้างตัวว่าเป็นรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์ รพีพันธุ์ ได้ข้อมูลว่า เรื่องเงินที่ยืมไป เรื่องอยู่ในศาล ตนเป็นฝ่ายถูกฝ่ายหญิงยืมเงินไปก่อน ส่วนเรื่องทำร้ายร่างกาย ตนต่างหากที่ถูกฝ่ายหญิงทำร้ายร่างกาย และพยายามฆ่า ตอนนี้เรื่องอยู่ในชั้นตำรวจแล้ว ส่วนเรื่องที่ตนจะเป็นอาจารย์อยู่ในมหาลัย หรือเป็นทนายหรือเปล่านั้น ตนมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรูปคดี ตนไม่ขอพูดถึง เพราะหน้าที่การงานของตนเป็นถึงระดับที่ปรึกษาธุรกิจ จะทำให้เสื่อมเสียได้ ผมไม่ได้ปฏิเสธนะว่าผมไม่ได้มีตำแหน่งอย่างที่ฝ่ายหญิงกล่าวนะ แต่ผมมองว่ามันไม่เกี่ยวกัน