สาวอุดร ร้องมูลนิธิรณรงค์ฯ หลังเกิดอุบัติเหตุขาขาด 2 ข้าง ประกันไม่จ่ายอ้างมีประกันตัวอื่นไม่แจ้ง

สาวอุดร ร้องมูลนิธิรณรงค์ฯ หลังเกิดอุบัติเหตุขาขาด 2 ข้าง ประกันไม่จ่ายอ้างมีประกันตัวอื่นไม่แจ้ง

View icon 381
วันที่ 5 ก.ค. 2567 | 16.25 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
สาวอุดร ร้องมูลนิธิรณรงค์ฯ หลังเกิดอุบัติเหตุ ถูกเลื่อยยนต์พลาดมาตัดขาขาดทั้ง 2 ข้าง ประกันบริษัทดังไม่จ่ายสินไหม อ้างผู้เสียหายปกปิดข้อมูลไม่แจ้งว่าทำประกันกับบริษัทอื่น จึงไม่จ่ายและยกเลิกกรมธรรม์  

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 5กรกฎาคม 67 น.ส.โชติกา หรือทิพย์ อายุ 30 ปี พร้อมสามี เดินทางมาจากจังหวัดอุดรธานี เพื่อร้องเรียนและขอความช่วยเหลือ จากมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถ.แจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ดจ.นนทบุรี เนื่องจากตัวเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม จากบริษัทประกันภัยเจ้าหนึ่ง ที่เธอได้ทำประกันชีวิตไว้ แต่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินเคลมประกันเกิดอุบัติเหตุ ขณะตัดต้นไม้กับน้องชายแล้วเลื่อยยนต์พลาดมาตัดขาเธอขาด 2  ข้าง บริษัทประกันอ้างผู้เสียหายปกปิดข้อมูลไม่แจ้งว่าทำประกันกับบริษัทอื่น จึงไม่จ่ายและยกเลิกกรมธรรม์  

น.ส.โชติกา ให้ข้อมูลว่า ตนเป็นเจ้าของร้านนินิมาร์ทขนาดเล็กในจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 67 ตนได้ทำประกันชีวิตกับบริษัทชื่อดัง โดยผ่านทางโบกเกอร์ธนาคาร ซึ่งขั้นตอนการทำประกัน ได้มีการสอบถามเรื่องอาชีพ ตนแจ้งว่าทำธุรกิจส่วนตัว โดยมีการตกลงเบี้ยประกันปีละ 15,500 บาท

ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 67 ตนได้เกิดอุบัติเหตุหลังไปช่วยน้องตัดต้นไม้ที่ริมรั้วบ้าน แล้วถูกเลื่อยยนต์ที่ใช้ตัดต้นไม้ สะบัดมาโดนขาทำให้ขาขาดทั้ง 2 ข้าง ทางสามีได้นำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อทำการรักษา หลังออกจากโรงพยาบาล ตนจึงได้แจ้งไปทางบริษัทประกันชีวิตเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 67 เพื่อขอรับสิทธิ์รายได้ชดเชยในวงเงินการทำประกันชีวิต เป็นเงิน จำนวน 10 ล้านบาท หลังจากนั้นในวันที่ 21 มิถุนายน 67 ตนก็ได้รับหนังสือจากบริษัทประกัน แจ้งว่า ขอยกเลิกกรรมธรรม์ที่ทำไว้กับบริษัท โดยหนังสือแจ้งว่า ตนปกปิดข้อมูลไม่แจ้งว่าได้มีการทำประกันชีวิตกับเจ้าอื่นไว้แล้ว ตนยอมรับว่าทำประกันชีวิตไว้กับบริษัทอื่นอีก 3 เจ้า รวมทั้งประกันจากบัตรเอทีเอ็ม ของธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน แต่ตนยังไม่ได้แจ้งเขาไป เพียงแค่แจ้งบริษัทนี้บริษัทเดียว ถ้าเจ้าอื่นเขาเกิดทำตามบริษัทนี้ ตนต้องสูญเงินชดเชยอุบัติเหตุ จำนวน 29 ล้านบาท

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตนและครอบครัวเสียใจมาก ถูกสังคมมองว่าตนทำร้ายตัวเองเพื่อต้องการเงินประกัน ตนยืนยันเลยว่าที่ตนทำประกันชีวิตหลายเจ้า เพราะต้องการเก็บเงินไว้ให้ลูกถ้าเกิดตนเป็นอะไรขึ้นมา ถ้าตนจะทำแบบนั้น ตนไม่ทำวงเงินประกันแค่นี้ตนต้องทำ100-200 ล้านบาท ทุกวันนี้ทุกข์ใจมาก เคยเดินได้ไปไหนมาไหนได้ ขับรถรับส่งลูกที่โรงเรียน เดินจัดของที่ร้าน แต่ทุกวันนี้ทำอะไรไม่ได้เลย ไปกินข้าวนอกบ้านก็ต้องให้สามีอุ้ม คนมองก็อายเขาบางคนอาจคิดสมเพชว่าเราพิการทำไมไม่อยู่บ้าน ลูกสาวก็ถามว่าขาแม่หายไปไหน

น.ส.โชติกา กล่าวอีกว่า ใครคิดว่าอยากเป็นคนพิการ ตัดขาตัวเองเพื่อต้องการเงินประกัน มาลองมาทำดูว่ามันทรมานจิตใจแค่ไหน  ทุกวันนี้ตนเป็นคนพิการสมบูรณ์แบบ เพราะเจ้าหน้าที่เขาออกบัตรให้แล้ว ใครอยากได้ก็ทำเลยเขาทำให้ฟรีด้วย

ด้านนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กล่าวว่า กรณีที่เราจงใจฉ้อโกงบริษัทประกัน หมายถึงปกปิดข้อเท็จจริง แต่ก็ต้องดูเงื่อนไขของบริษัทประกันด้วย ที่สำคัญบริษัทสามารถตรวจสอบและยกเลิกสัญญาในเวลา 2 สัปดาห์ได้ กรณีเคสนี้เขาทำประกันอุบัติเหตุไว้ทางบริษัทต้องรับผิดชอบ เพราะเขาไม่ได้ทำผิดสัญญาเขาแค่ซืัอประกันหลายเจ้า ส่วนที่เขาอ้างว่าผู้เสียหายทำประกันชีวิตไว้หลายบริษัทนั้น ตนมองว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ทางกฎหมายเราต้องใช้เวลาต่อสู้กันหลายปีแล้วสุดท้ายผู้บริโภคก็ชนะคดีเกือบทุกรายเพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ว่าเราต้องใช้เวลาต่อสู้นานขนาดนั้นเลยหรือ ทางคปภ.น่าจะสั่งให้ทางบริษัทประกันปฏิบัติตามสัญญาได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง