เปิดคำวินิจฉัยศาล รธน. "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกฯ

เปิดคำวินิจฉัยศาล รธน. "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกฯ

View icon 132
วันที่ 14 ส.ค. 2567 | 16.23 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกฯ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์  มีพฤติกรรมฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ส่วน ครม. รักษาการในหน้าที่ต่อไป 
 
ศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ (14 ส.ค. 67) เวลา 15.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย กรณีประธานวุฒิสภา ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน และนายพิชิต ชื่นบาน สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160  (4) และ (5) หรือไม่

คดีนี้ สว. จำนวน 40 ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา ว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 1)  ได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้า ฯ  แต่งตั้งนายพิชิต  ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 2)  เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ทั้ง ๆ  ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ  เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกาสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน  ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล  เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 160ต่อมาผู้ถูกร้องที่ 2 ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว  ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องเฉพาะส่วนของผู้ถูกร้องที่ 2

สำหรับกรณีของผู้ถูกร้องที่ 1 ศาลมีคำสั่งรับไว้ พิจารณาวินิจฉัย  โดยกำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยว่า  ความเป็น รัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผลการพิจารณา  พิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญตามคำปรารภที่ว่า  รัฐธรรมนูญนี้วางกลไกป้องกัน  ตรวจสอบ  และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด  เด็ดขาด  เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม  จริยธรรม  และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ  จึงบัญญัติคุณสมบัติและ ลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 170 เป็นคุณสมบัติและลักษณะ ต้องห้ามเพิ่มเติมจากลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 98

ผู้ถูกร้องที่  1 กล่าวอ้างว่าตนมีภูมิหลังจากการประกอบธุรกิจ  มีประสบการณ์ทางการเมืองที่จำกัด ไม่มีความรู้ทางด้านนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์  จึงไม่อาจวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมี ลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญหรือไม่  เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้  เพราะนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้บังคับบัญชาสูงสุดในฝ่ายบริหารทุกการตัดสินใจมีผลกระทบต่อบ้านเมืองจึงต้องมีความรับผิดชอบในทุกการกระทำ ประกอบกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตและความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจต่อสาธารณชนนั้น  เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดในลักษณะภาวะวิสัย   ข้อเท็จจริงปรากฏในคำสั่งศาลฎีกาที่ 4599/2551 ที่วินิจฉัยว่า เสมียนทนายความที่ทำงาน ประสานงานให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำถุงกระดาษใส่เงินสดมอบให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาโดยที่รู้หรือควรรู้ว่าภายใน ถุงกระดาษดังกล่าวมีเงินสดอยู่  และผู้ถูกร้องที่ 2 มีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่ามีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าวด้วยใน ลักษณะเป็นตัวการร่วม  โดยมีเจตนาจูงใจให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ที่อาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่  อม. 1/2550 ซึ่งเป็นลูกความของผู้ถูกร้องที่ 2 การกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล  เป็นความผิดฐาน ละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  31 (1)  และมาตรา 33  ประกอบประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน  สั่งลงโทษผู้ถูกร้องที่ 2  ฐานละเมิดอำนาจศาล  ล้วนเป็นข้อเท็จจริง ที่สาธารณชนต่างรู้กันโดยทั่วไป 

และสภาทนายความ เห็นว่า การที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ถูกลงโทษในคดีละเมิดอำนาจ ศาลตามคำสั่งศาลฎีกาข้างต้น  เป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล  ทำให้เสื่อมเสียอำนาจศาล หรือผู้พิพากษา  และกระทบต่อความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมไทย  เป็นการกระทำผิดตามข้อบังคับ สภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ  พ.ศ.  2529 ข้อ 6 และข้อ 18 ให้ลบชื่อผู้ถูกร้องที่ 2 กับผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องออกจากทะเบียนทนายความ

ผู้ถูกร้องที่ 1 รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยตลอดแล้ว  แต่ยังคงเสนอให้แต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี  ฉบับลงวันที่ 27 เมษายน 2567 ผู้ถูกร้องที่ 1 จึงไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) การที่ผู้ถูกร้องที่ 1 รู้หรือควรรู้ถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ  เกี่ยวกับพฤติการณ์ต่าง ๆ ของผู้ถูกร้องที่ 2 ดังกล่าวโดยตลอดแล้ว  แต่ยังเสนอแต่งตั้งให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์  ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา  160 (4) ย่อมเป็นกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ  รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 หมวด 1  ข้อ 8 ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 

ซึ่งข้อ 27 วรรคหนึ่ง  กำหนดให้การฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง  อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5)  ด้วย

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)  เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์  ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 160 (4)  และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง  อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 160 (5) 

เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง  (4)  แล้ว รัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่ง ทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 167 วรรคหนึ่ง  (1)  โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง  (1)  มาใช้บังคับกับการ ปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 5 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)  ประกอบ มาตรา 160 (4) และ (5) 

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 4 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ 

มาตรา 168 ให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไข ดังต่อไปนี้ 

(1) ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (1) (2) หรือ (3) ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่า คณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เว้นแต่ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167(1) เพราะเหตุขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 หรือมาตรา 160 (4) หรือ (5) นายกรัฐมนตรี จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ 
(2) ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (4) คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ ต่อไปมิได้