เช้านี้ที่หมอชิต - จากกรณีหนุ่มชาวจีนคนหนึ่ง จับได้ว่า "อดีตภรรยา" แอบคบชู้ช่วงยังไม่หย่าร้างกัน ไม่ได้จบแค่คนรักใหม่ที่เป็นคนไทย แต่ยังพัวพันไปถึง "รองอธิบดีอัยการ" คนหนึ่งที่กำลังมีคดีความเรียกรับผลประโยชน์
ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายตั้ม พานายเคน หนุ่มชาวจีน ผู้เสียหายไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุด ขอให้ตรวจสอบ "รองอธิบดีอัยการ" คนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ "อดีตภรรยา" ของนายเคน ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่หย่าร้างกัน
ทนายตั้ม บอกว่า หลักฐานสำคัญ มีทั้งภาพนิ่งไปเที่ยว ไปทำบุญ ภาพวงจรปิดรถคันที่ปรากฎในหลักฐานครั้งก่อนและพยานบุคคลที่เคยเชิญไปซักถาม จนได้ข้อสรุปที่เชื่อได้ว่า อัยการคนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
ขณะที่ทางฝั่งสำนักงานอัยการสูงสุดก็ส่งตัวแทนรับหนังสือ เพื่อให้คณะกรรมการอัยการสอบสวนตามขั้นตอน โดยพบ "รองอธิบดีอัยการ" คนที่ถูกร้องเรียน เป็นคนเดียวกับที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีเรียกรับสินบนชาวจีนเงิน 500,000 บาท แลกกับการไม่สั่งคดีพาสปอร์ตปลอม
คดีเรียกรับสินบนนี้ เกิดขึ้นปลายปี 2562 มีชาวจีนคนหนึ่งถูก ตม.จับกุมข้อหาใช้หนังสือเดินทางปลอม โดยพี่ชายของชาวจีนรายนี้เป็นเพื่อนกับผู้ถูกกล่าวหา จึงติดต่อให้ช่วยเหลือพร้อมแนะนำให้รู้จักกับหญิงคนหนึ่ง อ้างเป็นคนสนิทกับ "อัยการระดับสูง" ก่อนจะเรียกร้องเงิน 500,000 บาทแลกกับการช่วยเหลือ
แต่พอมอบเงินไปแล้ว กลับถูกบ่ายเบี่ยง จนเรื่องไปถึงศาลจังหวัดสมุทรปราการ ปี 2563 พิพากษาจำคุกชายชาวจีน 1 ปี 6 เดือน ทำให้พี่ชายของชาวจีนไปร้องทุกข์แจ้งความดำเนินคดีกับอัยการ และหญิงคนสนิท ซึ่งต่อมาหญิงคนสนิท ก็เสนอคืนเงิน 500,000 บาท พี่ชายผู้เสียหายถึงยอมถอนแจ้งความ
แต่เพราะคดีนี้ไปถึง ป.ป.ช. จึงถูกชี้มูลความผิด 2 ข้อหา ฐานเรียกรับสินบน และรับเงินซึ่งข้อหาหลังมีความเห็นขัดแย้งกัน และเพิ่งได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ หากอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะส่งตัว "รองอธิบดีอัยการ" ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบต่อไป