ประเด็นเด็ด 7 สี - ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ จากสำนักข่าวรอยเตอร์ส นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฯ จากพรรครีพับลิกัน ได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งไปแล้ว 279 เสียง
ส่วนนางคอมมาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ได้ไป 223 เสียง ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง หรือเกิน 270 เสียง จากคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด 538 เสียง จะเป็นฝ่ายชนะ
โดยทรัมป์ สามารถคว้าชัยชนะในรัฐสมรภูมิ หรือ "สวิงสเตต" ได้แล้ว 4 รัฐ คือ นอร์ทแคโรไลนา, จอร์เจีย, เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน
ส่วนอีก 3 รัฐ คือ เนวาดา, แอริโซนา และมิชิแกน แม้จะยังนับคะแนนไม่แล้วเสร็จ แต่ทรัมป์ก็มีคะแนนนำในทุกรัฐสวิงสเตต
ส่วนรัฐที่เป็นฐานเสียงของทั้ง 2 พรรค ต่างฝ่ายต่างก็รักษาฐานเสียงของตนเองไว้ได้ โดยไม่มีรัฐใดพลิกโผ
ขณะที่ ทรัมป์ พร้อมด้วยนางเมลาเนีย ทรัมป์ ได้ขึ้นเวทีพบผู้สนับสนุนที่เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เพื่อประกาศชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ระบุว่า "อเมริกาได้มอบอำนาจอันทรงพลังและไม่ค่อยมีมาก่อนให้กับพวกเรา และนี่จะเป็นยุคทองของอเมริกา และชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวอเมริกัน ซึ่งจะอนุญาตให้เราทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง"
ด้านนางคอมมาลา แฮร์ริส ได้เลื่อนกำหนดการขึ้นปราศรัยต่อหน้าผู้สนับสนุนที่มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด (Howard University) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกไป โดยเธอจะขึ้นกล่าวต่อผู้สนับสนุนอีกครั้งในภายหลัง ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนที่มารอเชียร์และร่วมลุ้นผลคะแนนพากันแยกย้ายกลับบ้าน
หากดูผลการเลือกตั้งของทรัมป์ ในปี 2024 เทียบกับปี 2020 ที่เขาแพ้ให้กับนายโจ ไบเดน ครั้งนี้ทรัมป์ทำได้ดีกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนในเกือบทั่วทุกมุมของประเทศ โดยจากการนับคะแนนที่เกือบแล้วเสร็จหน่วยเลือกตั้งมากกว่า 1,600 เคาน์ หรือราวครึ่งหนึ่ง พบว่าทรัมป์ได้คะแนนมากขึ้นประมาณ 2 จุด และได้ทำคะแนนได้ดีขึ้นในพื้นที่ชนเมือง, พื้นที่ชนบท หรือแม้กระทั่งเมืองที่เคยสนับสนุนพรรคเดโมแครต รวมทั้งในเขตพื้นที่ที่มีอัตราว่างงานสูง
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้คะแนนจากกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายละตินทั่วประเทศถึง 45 เปอร์เซ็นต์ แม้จะน้อยกว่าฝั่งนางแฮร์ริส ที่ได้คะแนนจากชาวอเมริกันเชื้อสายละตินไป 53 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่านายทรัมป์ได้คะแนนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ถึง 13 เปอร์เซ็นต์