จับ นุ-สา ร่วมฉ้อโกงเงิน 39 ล้านบาท

View icon 116
วันที่ 12 พ.ย. 2567 | 16.41 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ความคืบหน้าคดีทนายตั้ม ฉ้อโกงเงินมาดามอ้อย 71 ล้านบาท ลามไปถึงเงิน 39 ล้านบาทที่มีชื่อของ นุ-สาริณี สามีภรรยาที่ร่วมฉ้อโกงเงิน ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจกองบังคับการปราบปรามจับกุมตัวทั้งสองได้แล้ว พร้อมกับยึดรถหรู 2 คัน

ตำรวจกองบังคับการปราบปราม นำกำลังเข้าจับกุม นายนุวัฒน์ หรือ นุ คนสนิททนายตั้ม และ นางสาวสาริณี หรือ แซน แฟนสาวของนายนุวัฒน์ หลังศาลอาญาอนุมัติการออกหมายจับ ในความผิดฐานในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ,ร่วมกันนำเอาข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และร่วมกันฟอกเงิน จากกรณีฉ้อโกงเงิน 39 ล้านบาท ของ นางสาวจตุพร อุบลเลิศ หรือ มาดามอ้อย

พฤติการณ์ของ 2 ผู้ต้องหา คือ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงิน 39 ล้านบาทของเจ๊อ้อย โดยเป็นผู้คอยจัดการธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากผู้ต้องหาทั้ง 2 คน มีความสนิทสนมกับทนายตั้ม รวมถึงพบว่า มีการปั้นแต่งพยานหลักฐานโดยเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกดูดเงินจากบัญชีบิตคอยน์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานตบตาหลอก นางสาวจตุพรให้หลงเชื่อ จนนำมาสู่การออกหมายจับ

เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจอายัดรถหรูที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำผิดอีก 2 คัน ประกอบด้วย รถเบ็นซ์ สีขาวทะเบียน 999 กรุงเทพมหานคร และ รถเฟอร์รารี่สีฟ้า ทะเบียน 999 กรุงเทพมหานคร ก่อนจะคุมตัวทั้งสองคนมาสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปราม ซึ่งเป็นที่สังเกตว่า ทะเบียนรถของนุ และสา ที่ถูกยึด ทะเบียนตรงกับรถของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา ในวันที่ถูกจับกุมตัว คือ รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาล ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร

จ่อแจ้งข้อหาเพิ่ม ทนายตั้ม ปมเงิน 39 ล้านบาท
ขณะที่ พลตำรวจตรี มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งสองคน เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วนจะมีบุคคลใดเกี่ยวข้องเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ปัจจุบันพบว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดเพียง 3 คน คือ นายนุ นางสาวสาริณี และนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ซึ่งจะมีการเข้าแจ้งข้อหานายษิทราเพิ่มเติมในเรือนจำต่อไป ส่วนเส้นทางการเงิน 39 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ เบื้องต้นตำรวจตรวจยึดของกลางเป็น รถหรู 2 คัน ,ซิมโทรศัพท์ และสมุดบัญชีธนาคารที่เป็นชื่อของบุคคลอื่น หลังจากนี้ตำรวจจะสืบสวนขยายผลต่อไป

เผย นุ เคยจ้าง ทนายตั้ม ช่วยคดีความ
ด้าน พันตำรวจเอก สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า เบื้องต้นนายนุ อาศัยอยู่ที่เยอรมันตั้งแต่เด็ก เพราะมีแม่แต่งงานกับคนเยอรมัน จึงมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์และไอที ตั้งแต่ระดับปวส. หลังเรียนจบก็ทำงานที่เยอรมันนานถึง 2 ปี และชื่นชอบด้านสกุลเงินดิจิทัล ก่อนกลับมาอยู่ประเทศไทย ช่วงกลับมาได้เปิดเว็บไซต์ให้บริการดูภาพยนต์ต่างประเทศฟรี จนถูกเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนต์ต่างประเทศฟ้องเมื่อหลายปีก่อน หลังถูกฟ้องจึงหาทนายช่วยคดีความ จึงได้นายษิทรามาว่าความ ซึ่งการถูกฟ้องนี้เหลือขั้นตอนการเจรจาค่าเสียหาย ส่วนประวัติการดำเนินคดีที่เยอรมันนั้น จากการสอบถามนายนุ พบว่ายังไม่พบประวัติถูกดำเนินคดีในต่างประเทศ

เผย ทนายตั้ม สบายใจ-ฝากประกันตัวเมียก่อน
ส่วนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีกองทัพสื่อมวลชนไปเฝ้ารอทำข่าวจำนวนมาก หลังจากช่วงเช้า นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือ ทนายสายหยุด ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง ฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน เดินทางเข้าเยี่ยมลูกความ แต่ใช้เวลาเยี่ยมเพียงแค่ไม่กี่นาที ก็ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที

หลังจากนั้น ทนายสายหยุด ให้สัมภาษณ์สื่อว่า การเข้าเยี่ยมวันนี้ ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องคดี 39 ล้านบาท เพราะตอนที่อยู่ในเรือนจำ ยังไม่ทราบว่า นายนุวัฒน์กับนางสาวสาริณีถูกจับแล้ว และยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาทนายตั้มเพิ่มในวันนี้

การเข้าเยี่ยมนายษิทราวันนี้ พูดคุยกันทั่วไป และคุยเรื่องคดี ตนก็ถามว่า ที่เรือนจำมีปัญหาไหม ซึ่งทนายตั้ม บอกว่า อยู่สบาย มีแต่คนแย่งกันดูแล ไม่มีปัญหาอะไร และทนายตั้มยังบอกว่า ได้เจอพวกบอส ๆ ตอนกินข้าว แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ก็คุยกัน เพราะสถานะเดียวกันแล้ว ทนายตั้มบอกว่า ถ้าเป็นไปได้ให้รวบรวมหลักฐานประกันตัวภรรยาออกมาก่อน แต่ตัวเขายังไม่ต้องประกันจนกว่าอัยการจะฟ้อง

ส่วนกรณีที่ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ บอกว่า มีพยานบุคคลยืนยันว่า เห็นข้อความว่า มาดามอ้อยยกเงินให้ทนายตั้มนั้น ทนายสายหยุดยืนยันว่า พยานมีจริง แต่ยังไม่อยากพูด ขอให้เรื่องเรียบร้อยก่อน เป็นพยานที่รู้เห็นตอนที่เขาคุยกัน แต่จะมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน ต้องให้ศาลพิจารณาอีกครั้ง

ทนายสายหยุด ระบุว่า มาดามอ้อยเคยให้เงินคนไทยคนอื่น 1 ล้านยูโรต่อหน้าทนายตั้ม ซึ่งตนคิดว่าจะเอามาสอบด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่ ทนายตั้มบอกด้วยว่า "ขอ 2 ล้านไม่ได้เยอะ ก็เขาให้ผมมา แล้วผมโกงเขาเหรอ" ยืนยันว่า ไม่ได้ไปหลอกเขา เขาให้ตอนที่ยังดีกันอยู่ แล้วพอเลิกกันเขาก็มาขอเอาคืน

ทนายสายหยุด ยืนยันไม่ได้กดดันในการทำคดี ทำหน้าที่ให้เต็มที่ ผลสุดท้ายจะแพ้จะชนะมันอยู่ที่ข้อเท็จจริง ไม่ได้อยู่ที่ตน ถ้าแพ้ก็แพ้ ไม่มีใครทำคดีชนะร้อยเปอร์เซ็นต์

อัจฉริยะ เชื่อยังมีเฟส 3 แนะ ทนายสายหยุด ถอนตัว
ขณะที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวถึงการจับกุม นายนุกับ นางสาวสารินีว่า ตัวละครไม่ได้มีแค่นี้ เชื่อว่ายังมีเฟส 3 อีก ยังมีคนรับจ้างที่มาขนกระเป๋า ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตำรวจหรือทหาร แต่มีลักษณะหัวเกรียน และยังมีเครือญาติของทนายตั้มอีกที่ต้องโดนข้อหาฟอกเงิน พร้อมแนะนำให้ทนายสายหยุด เลิกทำคดีความให้กับทนายตั้ม และให้ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ไปทำเอง เพราะทนายเดชากับ ทนายรัชพล ศิริสาคร รู้ทุกเรื่อง

ทนายสายหยุดเป็นคนดีเกินไป และเป็นคนตรงเกินไป จึงแนะนำว่า ให้น้องถอนตัว ตอนนี้ยังไม่สาย เพราะเชื่อว่าทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับมาดามอ้อย เป็นการฉ้อโกงทั้งหมด ไม่ใช่คดีแพ่ง ส่วนที่ทนายเดชา บอกว่า จะเอาพยานมายืนยัน ตนถามว่าเป็นหน้าที่ของทนายเดชาเหรอ มันเป็นหน้าที่ของทนายสายหยุด ไม่เข้าใจว่า ทำไมทนายเดชาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดี ส่วนกรณีที่ทนายเดชา ออกมาเปิดศึกกับนายสนธิ ลิ้มทองคำ นายอัจฉริยะ คิดว่า บั้นปลายของทนายเดชา ไม่ต่างจากทนายตั้ม สุดท้ายขึ้นศาลก็แพ้

อัจฉริยะ เร่งรัดคดี ทนายตั้ม เรียกรับเงินนักโทษ
โดยวันนี้นายอัจฉริยะ เดินทางมายังสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 เพื่อยื่นหนังสือเร่งรัดคดีที่ทนายตั้มกับพวกตกเป็นผู้ต้องหาในคดี หลอกลวงนักโทษคดียาเสพติดว่า สามารถวิ่งเต้น ช่วยลดโทษได้ ทําให้ผู้ต้องหาหลงเชื่อจึงมอบเงิน 4 00,000 บาท ให้กับทนายตั้ม จนต่อมาชุดพนักงานสอบสวนตํารวจภูธรภาค 7 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบการกระทําผิดจริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับทนายตั้มกับพวก ข้อหาใช้เอกสารราชการอันเป็นเท็จ จากนั้นส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. และส่งกลับมาให้ตํารวจภูธรภาค 7 สืบสวน มีการสรุปสํานวนสั่งฟ้องไปให้อัยการทุจริตภาค 7 ตั้งแต่ปี 2563 แต่อัยการขณะนั้นได้นําสํานวนดังกล่าวไปซ่อน โดยไม่มีการพิจารณาหรือให้ความเห็นทางสํานวน

นายอัจฉริยะ ยืนยันว่าคดีนี้มีพยานหลักฐานชัดเจน วันนี้ยื่นครั้งที่ 3 หากยังไม่ดำเนินการ จะฟ้องเอาผิดอธิบดีทุกคน สำหรับคดีนี้กลุ่มผู้ต้องหามีการร้องขอความเป็นธรรมมากกว่า 10 ครั้ง ล่าสุดอธิบดีอัยการทุจริตภาค 7 คนใหม่เล็งเห็นถึงความสําคัญและวันนี้จะเสนอไปยังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน พร้อมทิ้งท้ายว่า "หากสั่งฟ้องทนายตั้มเหนื่อยแน่"

ทวี ยันดูแลเป็นพิเศษ ทนายตั้ม โดนจองกฐิน
ด้านพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีของทนายตั้ม ซึ่งมีข่าวว่าถูกจองกฐินในเรือนจำจะต้องดูแลเป็นพิเศษหรือว่า เท่าที่คุยรักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็ดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว และรายงานผู้บังคับบัญชา เพราะเรื่องต่าง ๆ แม้เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่หากเกิดปัญหาขึ้นก็จะทำให้เสียภาพลักษณ์

ส่วนการดูแลความปลอดภัยภายในเรือนจำ หลังมีนักโทษถูกแทงเสียชีวิต พันตำรวจเอกทวี บอกว่า ตอนนี้มีแนวทางในการดูแลอยู่แล้ว เรื่องความปลอดภัยในเรือนจำมีความละเอียดอ่อน เมื่อทราบว่า มีความขัดแย้งในหมู่ผู้ต้องขัง ก็ต้องดูแล ไม่ให้มีความขัดแย้งกัน แต่ต้องยอมรับว่าผู้คุมมีน้อย ต้องหาอาสาสมัครมาช่วยคุม คล้ายอาสาสมัครคุมประพฤติ เช่น ผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ทหาร เป็นต้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง