นายกฯ ร่วมสนทนา Molra Forbes ย้ำเสถียรภาพรัฐบาลอยู่ครบเทอม สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินหมื่นเฟส 2 เสนอตัวเป็นฑูตสันติภาพ-ความมั่งคั่ง พร้อมปรับตัวตามนโยบายทรัมป์ บอกบนเวทีโลก ถูกถามประโยคแรก พ่อ-อาเป็นอย่างไรบ้าง เผยเย็นนี้ได้ยินเสียงคุณพ่อแน่
วันนี้ (21 พ.ย.67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาแบบ one-on-one ในกิจกรรมของ Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 โดยนายกฯอิ๊งค์ ได้ร่วมสนทนากับ Molra Forbes โดยระบุว่า ช่วงเดือนแรกที่เป็นนายกฯ มีนักลงทุนบางคนที่ยังรู้สึกและยังตั้งคำถามว่า สามารถลงทุนในไทยได้หรือไม่ นโยบายยังคงเดิมอยู่หรือไม่ ซึ่งตนก็พยายามอธิบายว่า ตนและนายเศรษฐามีความใกล้ชิดกัน และนโยบายก็มาจากพรรคเดิม จะดำเนินการนโยบายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในตอนนี้ออกไปบอกกับผู้นำ CEO ทั่วโลก ขอให้ทุกคนเข้ามาลงทุนทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี เมื่อมีโอกาสได้เข้าร่วมการประชุมที่สำคัญ ไปคุยกับพวกเขาตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้ลงทุนกับไทย ตนก็เคยเป็นภาคเอกชนมาก่อน ทำธุรกิจโรงแรม จึงเข้าใจความต้องการต่าง ๆ ของเอกชน
รัฐบาลมีโอกาสที่จะได้คุยกับ CEO ที่สนใจในการลงทุน ว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ในการลงทุน และเข้าใจว่าไทยต้องดำเนินการทางเอกสารหลายขั้นตอน อาจทำให้ภาคเอกชนปวดหัว รัฐบาลจึงเห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมายบางฉบับ เพื่อการเปลี่ยนผ่านในการทำธุรกิจ
เมื่อถูกถามถึงลำดับความสำคัญในเยือนเปรู ช่วงหนึ่งมีการพูดถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อดึงดูดนักลงทุน นายกฯ กล่าวว่า การสร้างเสถียรภาพเพื่อดึงดูดนักลงทุน ซึ่งตนเข้าใจว่าความเติบโต ความง่ายในการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ขณะที่ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนได้เป็นอย่างมาก ไทยมีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ยาวนาน ซึ่งต่างชาติอยากเรียนรู้วัฒนธรรม ซึ่งต้องมีการเชื่อมโยงแต่ละเทศกาลเข้าด้วยการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยู่นานมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี ยังระบุถึง เสถียรภาพของรัฐบาล ทุกอย่างก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น น่าจะต้องสร้างความมั่นใจทั้งใน และนอกประเทศก่อน และทำให้คนไทยเชื่อมั่นในตัวเองว่า รัฐบาลสนับสนุนจริง ๆ ในการทำธุรกิจใหม่จริง ๆ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่กว่า 70% ของประเทศไทยเป็น SME จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างกฎหมาย เพื่อให้ง่ายขึ้นสำหรับคนไทย
นายกฯ ยังเล่าถึงประสบการณ์บนเวทีการประชุมผู้นำเอเปกว่า ตนเป็นผู้นำที่เป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุด มีตนกับประธานาธิบดีของเปรู ในเบื้องต้นตนพยายามสร้างความเชื่อมั่น ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลก็พยายามทำหลายอย่างไปพร้อมกัน เพื่อที่จะแก้ไข ตั้งแต่นโยบายการพักหนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมถึงในการออกมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุน ซึ่งก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีมาตรการออกมา แต่ก็ยังช่วยเหลือได้ไม่เต็มที่
รัฐบาลมีเงิน 10 ล้านบาท ออกนโยบายช่วยเหลือประชาชน ในเรื่องโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะนำเงิน 10,000 บาทไปช่วยเหลือคนคนเหล่านี้ เนื่องจากผู้รับจะนำเงินไปใช้ทันทีมากกว่าเก็บ ขณะเดียวกันก็มีแผนจะแจกเงินอีก 10,000 บาทให้กับคนกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นการจัดลำดับความสำคัญ เพราะต้องการให้เงินนั้นเกิดการสะพัดในระบบเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นจุดเด่นของประเทศไทย คือที่ตั้งเนื่องจากอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยมีภาคการเกษตรที่เข้มแข็ง เวลาคุยก็จะพูดถึงความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งนักลงทุนจากต่างประเทศต่างพากันตื่นเต้น
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บนเวทีการประชุมต่าง ๆ คำถามที่เจอบ่อยคือพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ตนพยายามตอบในมุมธุรกิจ แต่คำถามแรกที่ทุกคนถามคือคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง แต่เดี๋ยวจะได้ยินเสียงคุณพ่อในเย็นวันนี้ ส่วนคำถามที่สองก็คือ “อา” ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะ จากห้องประชุม
นายกรัฐมนตรียังพูดถึงบทบาทของไทยและสหรัฐอเมริกา ว่า ตอนที่ตนได้พูดคุยกับตัวแทนของสหรัฐอเมริกาและจีน รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ได้มีการนำเสนอตัวเองในฐานะว่า เป็นทูตของสันติภาพและความมั่งคั่ง นี่คือหลักการของประเทศไทย คือความสงบ สันติและความมั่งคั่ง แต่หากมองถึงประธานาธิบดีทรัมป์ มุมมองทางเศรษฐกิจนั้นเปลี่ยน ในภาพของการส่งออก ซึ่งเราจะต้องมีนโยบายที่สนับสนุน โดยพยายามทำให้คนไทยเข้าใจวิธีการ ซึ่งในวันของทรัมป์ไม่ได้เป็นปัญหากับเรา เนื่องจากเราส่งออก GDP 10% ไปยังสหรัฐอเมริกา และตนก็พร้อมจะเปิดตลาด พร้อมปรับนโยบาย ซึ่งตนก็ทราบดีว่าทุกคนมีความกังวล รัฐบาลมีการเตรียมตัว เป็นอย่างดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมกับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักธุรกิจในอนาคตทั้ง Data Center และ Semiconductor และต้องประกาศกับโลกว่า เราพร้อมแล้วตอนนี้เรานิ่งแล้ว สงบสุขแล้ว และเชื่อว่าทุกคนต้องการเห็นความก้าวหน้าในระยะยาว และในอีก 5 ปีข้างหน้าผู้คน ก็จะหนีจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้ โดยรัฐบาลมีการวางแผนไว้ 10 ปี ว่าเราต้องสร้างรากฐานก่อน ไม่ว่ารัฐบาลเปลี่ยน นายกเปลี่ยน อยากให้นโยบายจะต้องยึดมั่นกับประชาชนและประโยชน์เหล่านี้ จะต้องอยู่กับประชาชนให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้