ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ที่ประชุมดีเอสไอ มีมติสั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอน พบพฤติการณ์ชัดเจน ธุรกิจเน้นหาสมาชิกมากกว่าเน้นขายผลิตภัณฑ์สินค้า
ดีเอสไอสั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป
พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรณีการดำเนินคดีอาญาบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่า ที่ประชุมมีความเห็นว่าการสอบสวนคดีนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว รวมถึงนำคำแก้ข้อกล่าวหาที่เป็นประโยชน์ของผู้ต้องหามาพิจารณาทั้งหมด และสำนวนการสอบปากคำพยานของผู้ต้องหา 50 ราย ที่เป็นสมาชิก หรือเครือข่ายดิไอคอนมาพิจารณา
ฉะนั้นตอนนี้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้ว จึงมีมติสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย และอีก 1 นิติบุคคล (บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป) ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545
โดยพฤติการณ์แผนธุรกิจของดิไอคอน เน้นหาสมาชิกมากกว่าเน้นขายผลิตภัณฑ์สินค้า ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินค้าให้หมู่สมาชิกด้วยกัน แต่จำนวนสินค้าที่ไปยังผู้บริโภคนั้นมีจำนวนน้อย
ทั้งนี้ ดีเอสไอ จะนำส่งสำนวน พร้อมความเห็นสั่งฟ้องให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้จะแยกสำนวนออกเป็นอีก 1 สำนวน เพราะพบความผิดส่วนหนึ่ง เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร มีผู้เสียหายประมาณ 10 ราย ส่วนผู้ต้องหายังเป็นกลุ่มเดิม (18 บอส + 1 นิติบุคคล)
จ่อเชิญ "หวานใจ" ของ "สามารถ" ให้ข้อมูล
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวถึงกรณีรายงานข่าวปรากฏเส้นทางการเงิน หวานใจของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช มีการรับโอนเงินจากบอสดิไอคอนว่า อยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล แต่ยอมรับว่า มีการกระทำคล้ายกรณีมารดาของนายสามารถ ที่มีการใช้บัญชีธนาคารคนอื่น รับผลประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจดิไอคอน หรือรับโอนจาก บอสพอล ส่วนยอดการโอน เป็นหลักล้านบาท แต่จะมีการออกหนังสือเชิญ หวานใจนายสามารถ ให้ปากคำนั้น จะมีการดำเนินการแน่นอน
ส่วนกรณีปรากฏเส้นทางการเงินว่า บอสปีเตอร์ โอนเงิน 500,000 บาท เข้าบัญชีมารดานายสามารถ จะต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินหรือไม่ ทาง พ.ต.ต.ยุทธนา ระบุว่า อาจจะต้องมีการดำเนินคดี แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำนวนเอกสารหลักฐาน ที่คณะพนักงานสอบสวนมีการประชุมหารือพิจารณาก่อนมีมติเอกฉันท์สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย ปรากฏจำนวนเอกสารมากกว่า 300,000 แผ่น ความเสียหายทะลุ 1,644 ล้านบาท และจำนวนผู้เสียหายทั้งหมด 7,875 ราย