ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ปีใหม่เลือด โจ๋อายุ 17 ปี เข้าไปหาเรื่องเจ้าถิ่น โดนสวนกลับแทงไม่ยั้งเสียชีวิต บาดเจ็บ 4 ราย ด้านพ่อคนตาย เผยลูกชายเพิ่งออกจากบ้านเมตตา ไม่เชื่อหาเรื่องคู่อริก่อน
วงจรปิดบันทึกภาพวัยรุ่น 2 กลุ่ม จอดรถจักรยานยนต์ ลงมาพูดคุยกัน ผ่านไปไม่นานทั้งสองฝ่าย วิ่งไล่ทำร้ายกันชุลมุน เหตุเกิดช่วง 01.18 น. ที่ผ่านมา หน้าอะพาร์ตเมนต์ไม่มีชื่อ ภายในซอยวัดปฐมบุตรอิศราราม ซอยจรัญสนิทวงศ์ 45 แยก 7 เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
หลังเกิดเหตุพบร่างนายเก้านภัส อายุ 17 ปี หรือ นายรถถัง นอนจมกองเลือด เสียชีวิตอยู่บริเวณบันไดหนีไฟ ชั้น 2 ของอะพาร์ตเมนต์ มีบาดแผลถูกแทงที่กลางหน้าอก 1 แผล ต้นแขนขวา อีก 2 แผล และยังพบรอยเลือด ตั้งแต่ปากทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ ไปจนถึงร่างผู้ตายเป็นระยะทางยาว ส่วนบริเวณปากทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ ยังพบรถจักรยานยนต์ 2 คัน ที่มีร่องรอยการเฉี่ยวชน คันแรกเป็นรถจักรยานยนต์ สีแดง บังโคลนหน้าแตกหัก ส่วนอีกคันเป็น รถจักรยานยนต์ สีขาว มีคราบเลือดและรองเท้าผู้ตายวางอยู่
ชาวบ้านนั่งสวดมนต์ข้ามปี ดันเจอคนฆ่ากันตาย
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุพบว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นจุดที่สังสรรค์วันปีใหม่ของกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ สอบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุ นายรถถัง (ผู้ตาย) และเพื่อนรวม 9 คน ขี่รถเข้ามามีปากเสียงกับกลุ่มเจ้าถิ่นที่กำลังนั่งสังสรรค์ และรุมทำร้ายร่างกายกัน จากนั้น นายรถถัง และเพื่อนบางส่วน หนีเข้าไปหลบในอะพาร์ตเมนต์ ก่อนกลุ่มเจ้าถิ่นจะตามไปไล่แทง จนเสียชีวิตดังกล่าว ตอนนั้นตกใจมาก เพราะกำลังนั่งสวดมนต์ข้ามปีอยู่ในห้องพัก ไม่คิดว่าเปิดประตูมาจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ในคืนส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
พ่อเชื่อลูกไม่หาเรื่องใครก่อน
ขณะที่พ่อผู้เสียชีวิต ยอมรับว่า ลูกชายได้ออกจากบ้านไปหาเพื่อนทุกคืน และจะกลับมาช่วง 22.00-23.00 น. เมื่อคืนนี้บอกว่าจะไปนั่งคุยกับเพื่อน แต่ไม่บอกว่าไปที่ไหน กระทั่งได้รับสายแจ้งข่าวร้ายว่าลูกถูกแทงเสียชีวิต ส่วนตัวเชื่อว่าลูกชายไม่หาเรื่องใครก่อน และก่อนหน้านี้ก็ได้มีการตักเตือนลูก เนื่องจากลูกเพิ่งออกจากบ้านเมตา มาเมื่อ 1 เดือนในข้อหายาเสพติด ส่วนเรื่องของคดียืนยันว่าจะเอาเรื่องถึงที่สุด
เพื่อนผู้เสียชีวิตเผยนาทีเกิดเหตุ
ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับนายแบงค์ อายุ 17 ปี คนขี่รถจักรยานยนต์ให้ นายรถถัง นั่งซ้อนท้าย เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ มีเพื่อนในกลุ่ม ชวนไปเคลียร์ใจกับกลุ่มคู่อริ แต่เมื่อไปถึง ก็ถูกกลุ่มอริประมาณ 30 คน ทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ไล่ฟันกลุ่มเพื่อน และตนเองก็ถูกฟันเข้าที่ใบหน้า ก่อนจะถีบรถจักรยานยนต์ของตนเองล้ม และแทงนายรถถัง ตนเองพยายามวิ่งหนีเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ โดยมีนายรถถัง วิ่งตามมา และขึ้นไปที่ชั้น 2 จากนั้น นายรถถัง ก็บอกว่า "ไม่ไหวแล้ว" ตนจึงรีบวิ่งไปเคาะห้องพักทุกห้องเพื่อขอความช่วยเหลือ ก่อนจะกลับมาดู นายรถถัง ก็พบว่าไม่หายใจแล้ว
นอกจากนี้ ระหว่างที่ตนเองกำลังทำแผลกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย และมีตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว แต่ก็ยังมีพวกของกลุ่มคู่อริ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ บุกเข้ามาต่อยตนเองต่อหน้าตำรวจ ตนเองทำได้เพียงก้มหน้าปัดป้องเท่านั้น ส่วนบาดแผลที่ถูกฟันเข้าที่ใบหน้าก็ต้องเย็บถึง 22 เข็ม
จับแล้ว 2 ในแก๊งไล่แทงอริ
ล่าสุด ตำรวจ สน.บางยี่ขัน สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 2 คน เป็นชายอายุ 16 ปี และชายอายุ 17 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำโดยมีสหวิชาชีพร่วมสอบปากคำด้วย เบื้องต้นได้ดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันทำร้ายร่างกาย, และพกพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุที่เหลือ มีอีก 2 คน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ยังไม่พบว่ามีส่วนร่วมในการทำร้ายกัน จึงจะสอบปากคำไว้เป็นพยาน และยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหา โดยจากการตรวจสอบพยานหลักฐานและกล้องวงจรปิดในจุดเกิดเหตุ พบว่ามีเพียง 4-5 คนที่ร่วมก่อเหตุ ไม่ใช่กว่า 30 คน ตามเพื่อนผู้เสียชีวิตกล่าวอ้าง แต่เป็นลักษณะของชาวบ้านในชุมชนที่นั่งสังสรรค์ปีใหม่อยู่บริเวณดังกล่าว ทำให้มีการมามุงดูและห้ามปรามกันจนชุลมุน ทำให้จากกล้องวงจรปิดอาจดูเหมือนมีคนจำนวนมาก
ส่วนกรณีเพื่อนผู้ตานที่ถูกฟันหน้า อ้างว่ามีกลุ่มผู้ก่อเหตุที่เป็นผู้ใหญ่ เข้ามาต่อยหน้าระหว่างที่ทำแผล ต่อหน้าต่อตาตำรวจ ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ เยาวชนที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มที่ตำรวจได้เคยทำประวัติเยาวชนไว้แล้ว เพราะเป็นกลุ่มเปราะบาง เนื่องจากไม่ได้เรียนหนังสือ และผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแล มักจะมารวมกลุ่มและขี่รถจักรยานยนต์ในพื้นที่บ่อยครั้ง และคืนวันเกิดเหตุเป็นคืนปีใหม่ ทำให้ผู้ปกครองปล่อยบุตรหลานออกมาสังสรรค์ จนเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น จึงขอฝากเตือนผู้ปกครองให้หาคนที่บุตรหลานยอมฟังมาช่วยดูแล เพราะแม้ตำรวจจะเข้าไปอบรม แต่เยาวชนเหล่านี้ก็ไม่ยอมรับฟังเท่าคนใกล้ชิด
รับศพโจ๋ถูกแทงเสียชีวิต
ขณะที่เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ญาติได้เข้ารับศพนายรถถัง ที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลศิริราช เพื่อไปประกอบพิธีทางศาสนา โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า