วันนี้ (7 ม.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีแก๊งมิจฉาชีพอ้างว่าเป็นชาวเมียนมา ถูกลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ ลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 แต่ขึ้นเงินไม่ได้ นำมาหลอกขายให้ยายวัย 71 ปี สูญเงิน 4.3 แสนบาท ต่อมาจึงได้ลงพื้นที่ไปสอบถามผู้เสียหาย พบกับ น.ส.สมพงษ์ อายุ 71 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหาย
น.ส.สมพงษ์ เปิดเผยว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา ตนถูกคนร้ายหลอกขายลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ปลอมให้ในราคา 4.3 แสนบาท โดยผู้ก่อเหตุมีทั้งหมด 3 คน ผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 1 คน ใช้รถยนต์เก๋ง สีดำ และติดแผ่นป้ายทะเบียนปอม ซึ่งวันที่เกิดเหตุตนกำลังยืนอยู่ที่ทุ่งนา บริเวณเวณ หมู่ 1 ต.แม่ลา อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นมีชาย 1 คน อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่เกษตร อยู่ประจำ จ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน โดยมีผู้หญิงอีกคนแสดงตัวเป็นเลขา ต่อมามีหน้าม้าอ้างตนเป็นคนเมียนมามาเสนอขายถุงมือการเกษตรกับตนเอง และได้ทำลอตเตอรี่ตก คนร้ายที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่เกษตร จึงได้หยิบขึ้นมาดูพร้อมบอกว่าถูกรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 พ.ย. 67 เลข 187221 ได้เงินรางวัล 6 ล้านบาท
จากนั้นก็หยิบลอตเตอรี่เอามาให้ตนเองดู ซึ่งตนก็ดูแล้วว่าเป็นรางวัลที่หนึ่งจริง จากนั้นทั้ง 3 คน จึงได้เล่นละครหลอกว่าจะร่วมกันซื้อและไปขึ้นรางวัลร่วมกัน แต่ต้องออกเงินให้ชาวเมียนมาไปก่อน 1 ล้านบาท โดยชายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัดถามว่าตนเองมีเงินหรือเปล่า ให้ออกไปก่อนและจะมอบลอตเตอรี่ที่เป็นรางวัลที่ 1 ไว้กับตน และจะไปขึ้นเงินกันในวันรุ่งขึ้น เงินที่ได้มาจะหาร 3 จากนั้นก็ไปนำสมุดบัญชีธนาคารจากบ้าน และนั่งรถกันไป 4 คน เพื่อไปถอนเงินสดที่ธนาคารออมสิน สาขาคลองสวนพลู จ.พระนครศรีอยุธยา โดยชายคนดังกล่าวจอดรถให้ตนเองเดินลงไปเบิกเงิน
เมื่อถอนเงินมาแล้วก็มอบให้แก๊งดังกล่าว โดยได้นำลอตเตอรี่ปลอมมัดใส่ถุงอย่างแน่นหนาให้ตนเก็บไว้ จากนั้นก็พาไปส่งที่ทุ่งนา แล้วขับรถหลบหนีไป ต่อมาตนกลับมาเปิดถุงเพื่อดูลอตเตอรี่ ก็พบว่าลอตเตอรี่ใบที่ได้มาเป็นเลข 174360 ไม่ใช่ใบเดียวกันกับที่แก๊งดัง 18 มงกุฎให้ดู ตนจึงแน่ใจว่าถูกหลอก ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไปหลงเชื่อ มิจฉาชีพพูดหว่านล้อมอะไรก็เชื่อไปหมด ประกอบกับตนเองเคยไปดูดวง โดยมีพระทักมาว่าตนเองจะได้จับเงินล้าน จึงยิ่งปักใจเชื่อว่าจะเป็นลาภลอย ทำให้หลงเชื่อ เบิกเงินธนาคารออกมาให้แก๊งมิจฉาชีพ 4.3 แสนบาท ซึ่งเกือบหมดตัว และเงินดังกล่าวตนเก็บออมมาถึง 22 ปี ฝากธนาคารไว้ใช้ตอนแก่ แต่ก็ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงเอาไปเกือบหมด ก่อนไปแจ้งความลงบันทึกไว้ที่ สภ.นครหลวง
ต่อมา พ.ต.อ.ชาณภาค สุวรรณชื่น ผกก.สภ.นครหลวง สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง ร่วมกันทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าว กระทั่งชุดสืบสวนทราบว่า หนึ่งในคนร้าย และเป็นเจ้าของรถยนต์สีดำ ทะเบียนรถจริง คือ กพ 9838 นครสวรรค์ เป็น นายพิสัยสิทธิ์ อายุ 63 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ จากนั้นได้นำภาพถ่ายของนายพิสัยสิทธิ์ไปให้ผู้เสียหายดู โดยได้ยืนยันว่าคือคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเกษตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเป็นผู้ขับขี่รถยนต์พาผู้เสียหายไปถอนเงินสด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง จึงได้รวบรวมหลักฐานออกหมายจับนายพิสัยสิทธิ์
ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 68 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อนุมัติหมายจับ ที่ จ.6/2568 ให้จับกุมตัวนายพิสัยสิทธิ์ ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม จากนั้นในวันนี้เวลาประมาณ 08.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง นำโดย พ.ต.ท.กิตติพงษ์ กิจก้าวเจริญกุล รอง ผกก.สส.สภ.นครหลวง และ พ.ต.ท.วันชัย ศรีระภักดิ์ สว.สส.สภ.นครหลวง พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดกวดขันวินัยจราจร สภ.พรหมบุรี และ กก.สส.ภ.จว.สิงห์บุรี ร่วมกันจับกุมตัว นายพิสัยสิทธิ์ ได้พร้อมกับรถยนต์ของกลาง โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง และ รายงานผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 4 ฉบับ ที่บริเวณจุดกวดขันวินัยจราจร สภ.พรหมบุรี ถนนสายเอเชีย ม.3 ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
สอบสวนเบื้องต้นนายพิสัยสิทธิ์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครหลวง จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมทั้งของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นครหลวง เพื่อดำเนินคดีและขยายผลหาผู้ร่วมกระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้จากการตรวจสอบประวัติ พบ่ว่ามีหมายจับศาลแขวงจังหวัดลำปางที่ 3/2567 ลงวันที่ 8 ม.ค. 67 ในฐานกระทำความผิด ร่วมกันฉ้อโกง โดยยังมีประวัติคดีฉ้อโกงอีกจำนวนมาก ประกอบด้วย 1. ปี 2567 สภ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น” 2. ปี 2559 สภ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “1) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น 2) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น 3) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น” 3. ปี 2559 สภ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกง 4. ปี 2557 สภ.วังทอง จ.พิษณุโลก ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” 5. ปี 2557 สภ.เมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” 6. ปี 2556 สภ.เมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” 7. ปี 2556 สภ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ลักทรัพย์” 8. ปี 2556 สภ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ลักทรัพย์” และ 9. ปี 2554 สภ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”