กองปราบ ส่งสำนวนคดีทนายตั้มกับพวกรวม 7 คนฉ้อโกงฯ และฟอกเงิน ให้อัยการคดีพิเศษ

กองปราบ ส่งสำนวนคดีทนายตั้มกับพวกรวม 7 คนฉ้อโกงฯ และฟอกเงิน ให้อัยการคดีพิเศษ

View icon 56
วันที่ 17 ม.ค. 2568 | 13.31 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
กองปราบ สำนวน 9 พันแผ่น ส่งอัยการคดีพิเศษ สั่งคดีทนายตั้มกับพวกรวม 7 คนฉ้อโกงฯ และฟอกเงิน รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ลั่นสั่งทันกรอบฝากขัง 30 ม.ค.นี้ ส่วนคดีนอกราชพิจารณาส่งอัยการสูงสุดฟันคดี

วันนี้ (17 ม.ค.68) ที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. นำเอกสารสำนวนการสอบสวน รวม  9,317 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี , นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม , น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม , นายนุวัฒน์ หรือนุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม , น.ส.สารินี อายุ 32 ปี แฟนสาวของนุ และพนักงานของโชว์รูมรถ 2 คน ที่ร่วมมือกับทนายตั้มในการปลอมแปลงเอกสาร ในคดีฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มอบให้กับพนักงานอัยการคดีพิเศษ โดยมีนายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ พร้อมด้วย นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา

พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า คดีทนายตั้มแบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร และกระทำผิดนอกราชอาณาจักร โดยการกระทำผิดนอกราชอาณาจักร มี 3 เรื่อง คือ ฉ้อโกงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ ความเสียหาย 71 ล้านบาทเศษ, คดีกระเป๋าเงินดิจิทัล ถูกระงับความเสียหาย 39 ล้านบาทเศษ และสำนวนคดีซื้อรถเบนซ์ จี 400 เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง 1,530,000 บาท ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักร คดีการออกแบบโรงแรม ได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนที่ร่วมกับทนายตั้มทำการฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน

พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า วันนี้มีผู้ต้องหาเพิ่ม 2 คนที่จะต้องเข้ามาพบอัยการ ในความผิดปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์  แต่รายละเอียดในสำนวนไม่ขอเปิดเผย ส่วนน.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ที่ได้รับการประกันตัวอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวมาในวันนี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนในประเด็นที่ทนายตั้มได้ร้องขอให้มีการสอบสวนในพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง

ด้าน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังรับมอบสำนวนแล้ว สำนักงานอัยการคดีพิเศษได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการคดีพิเศษ 1  รับผิดชอบพิจารณาสำนวน และจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จทันภายในระยะเวลากรอบฝากขังผัดสุดท้ายในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งตอนนี้พึ่งได้รับมอบสำนวนมา จึงยังไม่ได้นัดวันฟังคำสั่ง ในส่วนคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจะต้องส่งให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณามีคำสั่งอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเรื่องความคืบหน้าคดีพินัยกรรมมาดามอ้อยกับทนายตั้ม พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำความผิดตามที่แจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อยู่ ส่วนจะต้องเรียกมาดามอ้อยมาสอบปากคำอีกหรือไม่นั้น ยังไม่พิจารณาในเรื่องนี้

สำหรับประเด็นเรื่องการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมนั้น ยังไม่มีหนังสือดังกล่าวจากผู้ต้องหา แต่จากการเข้าไปสอบปากคำทนายตั้มในเรือนจำ ทนายตั้มยังคงต้องการให้ทางพนักงานสอบสวนทำตามขั้นตอนตามกฎหมายปกติ โดยทนายตั้มยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่ที่มีการส่งสำนวนในวันนี้มี 2 ส่วน ประกอบด้วยคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรที่ทางทนายตั้มได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2 ล้านยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 71,067,764.70 บาท

คดีต่อมา ผู้เสียหายมอบหมายให้ทนายตั้มจัดหาซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่นจี 400 ทนายตั้มได้หลอกลวงผู้เสียหายว่า สามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท

คดีที่ นายษิทรา, นายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า นายนุวัฒน์ มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ ผู้เสียหายจึงให้นายนุวัฒน์ โอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ให้กับผู้ใช้อินสตาร์แกรมชื่อบัญชี เฉินคุน จากนั้นได้หลอกลวงผู้เสียหายว่า นายนุวัฒน์ ได้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี โอนเงินไปยังบุคคลดังกล่าวแล้ว ทำให้กระเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับการใช้งาน ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน จำนวน 39 ล้านบาท พร้อมส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันแจ้งกรณีถูกอายัดเงินดังกล่าวไปให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชันไลน์ด้วย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินีถูกระงับจริง ทั้งที่ความจริงแล้วกระเป๋าเงินสกุลดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระงับการใช้งานแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เซ็คธนาคาร สั่งจ่ายเงิน จำนวน 39 ล้านบาท ให้กับ น.ส.สารินี แล้วนายนุวัฒน์ กับ น.ส.สารินี ได้ร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีธนาคาร ชื่อของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินสด 39 ล้านบาทดังกล่าว ออกจากบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี

เเละยังมีข้อหาที่คณะทำงานสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักรที่มีนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร ร่วมกันกับพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับนายนุวัฒน์ และสารินี สองสามีภรรยาจากคดีเรื่องเงินหลอกจากศิลปินจีน 39 ล้านบาท ในข้อหาแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงาน จากกรณีที่ไปแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ

และคดีสุดท้ายเป็นคดีในราชอาณาจักรทนายตั้มได้หลอกลวงผู้เสียหายว่า ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรมที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรม 9 ล้านบาททั้งที่ความจริงแล้ว ทนายตั้มได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง จากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ทนายตั้ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง