ป้าตาบอด ร่ำไห้! พี่ชายฮุบที่ดินมรดก แม้ว่าฟ้องชนะเป็น 10 ปี แต่พี่ก็ไม่สนคำสั่งศาล

ป้าตาบอด ร่ำไห้! พี่ชายฮุบที่ดินมรดก แม้ว่าฟ้องชนะเป็น 10 ปี แต่พี่ก็ไม่สนคำสั่งศาล

View icon 228
วันที่ 20 ม.ค. 2568 | 15.50 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ป้าตาบอด-น้องสาว ร่ำไห้! โดนพี่ชายฮุบที่ดินมรดก แม้ว่าฟ้องชนะเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่พี่ก็ไม่สนคำสั่งศาล ยึดทำกินคนเดียว ขู่ใครเข้ามาจะยิงทิ้ง ด้านลูกชายจำเลย อ้างตนเองครอบครองมากว่า 20 ปีไม่เกี่ยวกับพ่อ

20 ม.ค. 68 นางสัมฤทธิ์ อายุ 66 ปี ผู้พิการตาบอด และนางทองดี อายุ 59 ปี สองพี่น้องชาว อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ได้นำเอกสารหลักฐานและคำพิพากษาศาลที่ชนะคดีแล้วตั้งแต่ปี 2557 ขอความช่วยเหลือกับนายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ "ทนายอั๋นบุรีรัมย์" หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตแล้ว พี่ชายคนโต จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน  ได้ฮุบที่ดินมรดกเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่เศษ ซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองทำกินเพียงผู้เดียว ทั้งที่แม่สั่งเสียไว้ก่อนตายให้แบ่งแก่พี่น้องทุกคนเท่ากัน

จากนั้นเมื่อปี 2552 น้องชายและน้องสาวจำนวน 5 คนจึงร่วมกันเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง พี่ชายคนโต ที่ฮุบเอาที่ดินมรดกคนเดียว  

ต่อมาปี 2553  ศาลจังหวัดบุรีรัมย์มีคำพิพากษา ให้พี่ชายคนโตซึ่งเป็นจำเลย แบ่งที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวให้แก่น้องทั้ง 5 คน ที่เป็นโจทย์ยื่นฟ้องคนละ 1 ใน 7 ของจำนวนที่ดินที่พิพาท  และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทย์ทั้ง 5 ด้วย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่จำเลยยังได้ยื่นฎีกาอีกเมื่อปี 2557 แต่ศาลไม่รับฎีกาของจำเลย ถือว่าคดีสิ้นสุด 

โดยแม้ว่าน้องทั้ง 5 คนที่เป็นโจทย์ยื่นฟ้องพี่ชายคนโต ที่หวังฮุบที่ดินมรดกคนเดียว จะชนะคดีศาลสั่งให้แบ่งที่ดินพิพาทเนื้อที่ 17 ไร่ ให้แก่น้องทั้ง 5 คน ๆ ละ 1 ใน 7 แล้วก็ตาม  แต่พี่ชายกลับไม่ได้สนคำพิพากษาศาล ยังไปล้อมรั้ว สร้างที่อยู่อาศัย ขุดสระครอบครองทำกินแต่เพียงผู้เดียว จนน้องชายทยอยเสียชีวิตไปแล้ว 3 คนก็ยังไม่เคยได้เข้าไปทำกินในที่ดินมรดกที่ชนะคดีเลย 

ปัจจุบันเหลือน้องสาว 2 คนที่ยังมีชีวิต คนหนึ่งตาบอด อีกคนก็ต้องตระเวนไปรับจ้างหากินไปวัน ๆ เพราะไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง ถึงแม้ศาลจะตัดสินให้ชนะคดีให้พี่ชายแบ่งที่พิพาทแล้ว แต่ผ่านไปกว่า 10 ปีก็ยังไม่มีใครสามารถเข้าไปทำกินในที่ดินดังกล่าวได้เลย แค่ไปดูพี่ชายก็ขู่ว่า หากใครเข้าไปจะยิงให้ตาย ทุกคนจึงเกิดความกลัว จากกรณีจึงได้ร้องให้ทนายอั๋น ให้ช่วยเหลือ

จากนั้น ทนายอั๋น และผู้เสียหาย ได้ลงไปดูพื้นที่พิพาทที่ชนะคดี ซึ่งอยู่ติดถนนในหมู่บ้าน ขณะที่กำลังเดินดูพื้นที่ ก็มีลูกชายของจำเลย ออกมาใช้มือถือถ่ายภาพทนายความ ผู้สื่อข่าวและผู้เสียหาย พร้อมกับอ้างว่าที่ดินแปลงนี้ ตนเป็นคนครอบครองทำกินมากว่า 20 ปีแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับพ่อที่มีการต่อสู้คดีก่อนหน้านี้ และไม่รับรู้เกี่ยวกับคำพิพากษาศาล ตนครอบครองเองไม่เกี่ยวกับพ่อ เพราะพ่อไม่ได้อยู่ที่นี้แล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาอ้างสิทธิ์ใดๆ จึงเกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อยระหว่างลูกชายจำเลยและโจทย์ 

ด้านทนายอั๋น เผยว่า เท่าที่ลงมาดูคดีนี้ ทางผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทย์ฟ้องได้ใช้สิทธิ์ทางศาล และศาลก็พิพากษาแล้วว่าให้จำเลยแบ่งที่ดินที่พิพาทคนละ 1 ใน 7 แก่โจทย์ทั้ง 5 คน ซึ่งคดีดังกล่าวสิ้นสุดแล้ว แต่จำเลยที่แพ้คดีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล เพราะจำเลยยังอ้างสิทธิ์การครอบครองทำประโยชน์ผู้เดียว และยังมีการข่มขู่ห้ามใครเข้าไปในที่ดินจะยิงทิ้ง ทำให้โจทย์ที่ชนะคดีก็ยังไม่สามารถเข้าไปทำกินหรือทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้  ก็ได้ยื่นร้องสำนักนายกฯ ให้ช่วยเหลือ

ทางสำนักนายกฯ ก็พิจารณาส่งเรื่องมายังอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ หาทางช่วยเหลือด้วยการนำที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาด แต่ก็ไม่มีใครกล้าซื้อเพราะจำเลยยังอ้างสิทธิ์และอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว ปัญหาของเรื่องนี้คือ จำเลยไม่ยอมรับและปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล และลูกชายของจำเลยยังจะมาอ้างสิทธิขึ้นมาใหม่ว่า ตนเองครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวมากว่า 20 ปีไม่เกี่ยวกับพ่อ ทำนองจะสู้คดีใหม่ เหมือนว่าครอบครองปกปักษ์ ซึ่งความจริงทำไม่ได้เพราะเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์

ส่วนตัวจึงอยากให้มองถึงเรื่องมนุษยธรรม คืออยากให้เห็นความเป็นคนสายเลือดเดียวกัน หากพูดคุยกันได้ก็อยากตกลงคุยกัน แล้วแบ่งกันตามคำสั่งศาล แต่หากไม่แบ่งเป็นที่ดิน ก็อาจจะเยียวยาดูแลน้อง ๆ ที่เขาชนะคดีแต่ไม่เคยได้ประโยชน์ใด ๆ จากที่ดินมรดกดังกล่าวเลย แต่หากยังดื้อทางผู้เสียหายก็สามารถยื่นฟ้องขับไล่ตามกระบวนการได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง