สนามข่าว 7 สี - สถานการณ์ PM 2.5 เข้าขั้นวิกฤติ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ผู้ปกครองต้องระวัง ซึ่งผู้ใช้ Facebook หลายคนต่างโพสต์ภาพบุตร-หลานเลือดกำเดาไหล
ผวาฝุ่น PM2.5 ทำเลือดกำเดาไหลเพียบ
คนแรกระบุข้อความว่า "เลือดกำเดาของลูกไหลแม้กระทั่งตอนหลับ แล้วสำลักตื่นมาเลือดหยดออกมาเป็นลิ่ม ๆ" โดยไปพบแพทย์แล้ว แพทย์บอกว่าแพ้ฝุ่น
ผู้ใช้ Facebook อีกคนบอกว่า "เลือดกำเดาลูกมาไหลตอนค่ำ พ่นยา ล้างจมูก กินยา เอาไม่อยู่นะ PM 2.5"
อีกเคสเป็นแม่ที่โพสต์ภาพลูกเลือดกำเดาไหล พร้อมข้อความ "ลูกเลือดกำเดาไหลตอนนอน คนเป็นแม่ก็ไม่กล้าหลับเลย"
และอีกเคสเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง โพสต์ภาพกระดาษทิชชู่ที่เต็มไปด้วยรอยเลือด พร้อมบอกว่า "ตอนแรกนึกว่าเส้นเลือดฝอยในจมูกแตก แต่ก็แปลก เพราะเป็นเดือนแล้ว แต่เลือดกำเดายังไม่หาย"
นี่เป็นความจริงเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เพราะมีอีกหลายคนต่างโพสต์ภาพและข้อความว่า ได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพขั้นร้ายแรง และถามว่าเมื่อไหร่สถานการณ์จะยุติ
เปิดสาเหตุค่าฝุ่น กทม.เกินมาตรฐาน
มีความพยายามแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ถือเป็นจุดวิกฤติ โดย ผู้ว่าฯ ชัชชาติ บอกข้อมูลน่าสนใจว่า ฝุ่น PM 2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.รถยนต์ 2.การเผา 3.สภาพอากาศปิด แต่ระยะนี้พบค่าฝุ่นสีแดงมากขึ้น โดยเฉพาะรอบนอก และมี 2 ปัจจัยที่ กทม. ควบคุมไม่ได้ คือ 1.อากาศปิด และ 2.การเผาจากรอบนอก เพราะ กทม. ไม่มีการเผา
สอดคล้องกับข้อมูลของสถานีตรวจวัดอุตุนิยมวิทยาใกล้ผิวดิน และมลสารทางอากาศ หรือ KU TOWER ที่พบว่า โดยปกติแล้ว กทม. มีฝุ่น PM 2.5 ในระดับสูงสุด 50-60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ถ้าตัวเลขเกินระดับนี้ขึ้นมา แสดงว่ามีฝุ่นจากข้างนอกเข้ามาเติม และเป็นฝุ่นที่มาจากการเผาไหม้ชีวมวลที่ลอยเข้ามา แล้วจมตัวอยู่ในกรุงเทพฯ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นสถานการณ์ในภาพรวมของ PM 2.5 ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เคยบอกว่า พบข้อมูลการเผาในพื้นที่ปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน สูงกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน
ด้าน กรมอุตุฯ คาดว่าตั้งแต่วันนี้ (24 ม.ค.) ไปจนถึง 26 มกราคม แนวโน้มการระบายอากาศบริเวณกรุงเทพฯ อยู่ในเกณฑ์ "อ่อน" คาดว่าความเข้มข้นของฝุ่นละอองจะลดลงเพียงเล็กน้อย จากนั้นวันที่ 27-28 มกราคม จะมีแนวโน้มลดลง เพราะการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ "ดี" แต่หลังจากนั้นฝุ่นจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง