เต้ มงคลกิตติ์ ให้การดีเอสไอในฐานะพยาน หอบหลักฐานกล้องวงจรปิด 34 จุด ช่วยไขคดีแตงโม
วันนี้ (3 ก.พ.68) เต้ มงคลกิตติ์ หรือนายมงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์ เข้าพบเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตามที่ได้รับหมายเรียกให้เข้าพบและให้ข้อมูลในฐานะพยาน ประกอบการสืบสวนคดีแตงโมนิดา ตกเรือ โดยเต้ มงคลกิตติ์ หอบหลักฐานจากกล้องวงจรปิด 34 จุด ไปให้ดีเอสไอตรวจสอบ พร้อมตั้งข้อสังเกตเรื่องโทรศัพท์มือถือถูกปิด จะใช่แบตฯ หมดจริง ๆ หรือไม่ และจะเกี่ยวกับผู้ใหญ่จริงหรือไม่
"เต้ มงคลกิตติ์" เปิดเผยว่า ถูกเรียกมาให้ปากคำกับดีเอสไอ เพราะเป็นคนที่เคยร่วมหาหลักฐานในช่วง 30 วันแรก หลังการเสียชีวิตของ "แตงโม นิดา" โดยนำภาพจากกล้องวงจรปิด โดยเฉพาะกล้องจากร้าน "กระแชงมอญ" ที่เห็นชัดว่ามีเจ็ตสกี 4 ลำ ขี่นำหน้าเรือสปีดโบต ที่ควรตรวจสอบ GPS ด้วยว่าไปด้วยกันหรือไม่ รวมถึงกล้องวงจรปิดใต้สะพานซังฮี้ ที่น่าจะเป็นพยานหลักฐานใหม่ เพราะเห็นชัดเจนว่า ไม่เห็นคนอยู่ท้ายเรือ ต่างกับที่ตำรวจนำภาพวงจรปิดบนสะพานมาตรวจสอบ แล้วบอกว่า มีคนนั่งอยู่ท้ายเรือ อีกทั้งเวลาในกล้องวงจรปิดของตำรวจ และของที่ตนได้มา ก็ไม่สอดคล้องกัน
"เต้ มงคลกิตติ์" เปิดเผยว่า ประเด็นต่อมา คือ เรื่องการตกเรือของแตงโม เทียบกับคำให้การของ "ปอ" ที่บอกว่าเกาะอยู่ท้ายเรือ 10 วินาที ก็ยังไม่สอดคล้องกับความเป็นไปได้ ทั้งเรื่องขององศา และมุมตกกระทบ นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยเรื่องที่โทรศัพท์มือถือของ แตงโม ปิดไป 3 ชั่วโมง โดยไม่รู้ว่าปิดไปทำไม และก็คิดว่าไม่น่าใช่เรื่องแบตเตอรีหมด จึงเป็นไปได้ที่ระหว่างนั้นอาจพาไปพบผู้ใหญ่ และไม่ต้องการให้มีการแอบถ่าย ซึ่งเรื่องการไปเจอผู้ใหญ่มีมานานแล้ว และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จบลงด้วยเหตุการณ์แบบนี้
ทั้งนี้ในวันที่ 13 ก.พ.68 ดีเอสไอ เรียก บิณฑ์และเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ อาสาสมัครกู้ภัยที่พบศพ "แตงโม" ในวันแรก ๆ รวมถึง ลูกชาย อดีต สว. ที่มีชื่อถูกพาดพิงถึง มาให้ข้อมูลด้วย
จากนั้น ระหว่างวันที่ 17-19 ก.พ.68 จะเป็นการนำอุปกรณ์เครื่องโซนาร์ ไปเก็บข้อมูลใต้น้ำ และเก็บข้อมูลตามรอย GPS ของเรือ เพื่อดูข้อเท็จจริงว่า มีสิ่งใดที่เข้าข่ายเป็นความผิดปกติ หรือไม่ เพื่อนำไปรวมกับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อื่น ๆ เพื่อที่จะนำไปสู่การหาคำตอบ ว่าคดีนี้เข้าข่ายที่ดีเอสอต้องรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่