"โรม” จับตา “กฟภ.” ตัดไฟฟ้าท่อน้ำเลี้ยงแก๊งคอลเซนเตอร์ เผย 6 ก.พ. กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ฯ เชิญ มท.-สมช. แจง จี้นายกฯ เอาผิด “อนุทิน” จากความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้น
วันนี้ (4 ก.พ.68) นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ติดตามว่าจะมีการการตัดไฟเมียนมาหรือไม่ และตัดที่ไหนบ้าง หลังนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งระงับจ่ายไฟฟ้าชายแดนไทยเมียนมาทันที
นายรังสิมันต์ ระบุ ฝั่งเมียนมา ทางท่าขี้เหล็กก็ยังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ขณะที่ฝั่งเมียวดี และพญาตองซู มีปัญหาเรื่องแก็งคอลเซนเตอร์ ซึ่งต้องตัดทั้งหมด 3 จุดนี้ หากมีการละเว้นจุดในจุดหนึ่งไว้ ปัญหาก็ไม่จบ และขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ เป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น การตัดไฟเพียงบางจุดเป็นเพียงก้าวแรก ยังเหลืออีกจำนวนมาก สิ่งที่ควรจะพิจารณาต่อไป คือท่าข้ามแม่น้ำ เฉพาะแค่ที่จังหวัดตาก ก็มีการเปิด 59 ท่า บางท่าก็ตั้งอยู่กับแก็งสแกมเมอร์ และหากมีการตัดไฟ ก็จะมีการหาเครื่องปั่นไฟมาใช้อยู่ดี รัฐบาลต้องดูตั้งแต่ต้น ว่ามีการจัดหาเครื่องปั่นไฟไปใช้หรือไม่ เพื่อรีบสกัดกั้น
อีกทั้งต้องตรวจสอบว่า จะสามารถเอาผิดกับเจ้าของท่าข้ามได้หรือไม่ เพราะไม่มีการตรวจสิ่งของที่นำข้ามไป โดยเฉพาะของผิดกฎหมาย หากจะเปิดท่าข้าม ควรคงมาตรฐานไม่น้อยไปกว่าด่านชายแดนถาวร ที่มีเจ้าหน้าที่รัดกุมตามจุดต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่า จะได้ไม่มีการกระทำที่ผิดกฎหมายเกิดขี้น ส่วนการมีวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งอนุญาตให้สามารถเดินทางได้ทั่วราชอาณาจักร โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตซ้ำนั้น ก็ควรมีการทบทวน เพราะบางพื้นที่ ที่มีการประกาศกฎอัยการศึก เป็นพื้นที่ด้านความมั่นคง รัฐบาลจะต้องทบทวนให้มีกลไกในการขออนุญาตก่อน
สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ คือกลไกภายใน อย่างเรื่องบัญชีม้า ตนเห็นท่าทีของรัฐบาลเอาจริงเอาจังมากขึ้น ซึ่งก็เข้าใจว่าคงต้องรอการแก้ไขพระราชกำหนด ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีก่อน เพื่อให้ธนาคาร และโอเปอเรเตอร์ต่างๆ ร่วมรับผิดชอบ แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ยังรอเงินคืน ซึ่งก็คงต้องมีกลไกรองรับ และจัดการ รัฐบาลยังจะต้องหันไปมองฝั่งกัมพูชาด้วย เพราะเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่สำคัญไม่แพ้กับฝั่งเมียวดี และต้องดูว่ามีทรัพยากรของประเทศไทยใดบ้าง ที่อาจถูกส่งไปถึง ซึ่งตนเชื่อว่ามีเช่นเดียวกัน
“และถ้ามีความเสียหาย นายอนุทินจะลอยหน้าลอยตาต่อไปแบบนี้ใช่หรือไม่ รัฐบาล นายกฯจะไม่ทำอะไรเลยใช่หรือไม่ และหากปรากฎว่าไฟฟ้าที่ขายไป ไม่ใช่มีแค่ฝั่งพม่าแต่ไปเจอจุดอื่นอีก แล้วก่อให้เกิดการเสียหายอีก นายอนุทินจะลอยหน้าลอยตา แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆปล่อยให้ประชาชนต้องรับความเสียหายต่อไปเองเรื่อยๆ”
โดยวันที่ 6 ก.พ.นี้ กรรมาธิการฯ ได้เชิญกระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าร่วมประชุม กับกมธ.ฯ
อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องตรวจสอบพล.ต.ต. ต-เต่า ที่ออกมายอมรับว่าเคยทำธุรกิจอยู่ฝั่งตรงข้ามคือที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ รายได้ที่ได้มาที่อาจชอบด้วยกฎหมายเข้าข่ายเป็นการฟอกเงินหรือไม่ฯลฯ