ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาแก้ เพิกถอนประกาศใบสั่งค่าปรับจราจร 2 ฉบับ ชี้ กฎขัด รธน.- พ.ร.บ.จราจรทางบก ให้ ผบ.ตร.แก้ไขออกประกาศใหม่ให้ถูกต้องภายใน 180 วัน
วันนี้ (5 ก.พ.68) ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ. 2114/2566 หมายเลขแดงที่ อ. 50/2568 ซึ่ง นางสุภา ผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 ออกประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และเรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนประกาศพิพาททั้งสองฉบับ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าว
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ให้อำนาจผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 แต่เมื่อ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดและบทกำหนดโทษแก่บุคคลให้ต้องรับผิดในทางอาญา การดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การใช้ดุลพินิจกำหนดแบบใบสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ย่อมต้องอยู่ภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง
เมื่อ “การเปรียบเทียบปรับ” หมายความว่า การที่ผู้กระทำผิดยินยอมชำระเงินตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด ก่อนที่ศาลจะพิจารณาและผลการเปรียบเทียบทำให้คดีเลิกกัน หรือสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไป ตามมาตรา 37 และมาตรา 39 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ความยินยอมนั้นจะต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ หลังจากได้ทราบถึงข้อหาความผิดที่ตนได้กระทำและจำนวนค่าปรับที่จะต้องชำระ รวมถึงได้รับแจ้งสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามใบสั่งและโต้แย้งหรือนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลด้วย แต่จงใจสละสิทธิหรือโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาของศาลเสียเอง และยอมเข้าสู่กระบวนการเปรียบเทียบของพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชำระเงินตามจำนวนที่เปรียบเทียบเพื่อให้คดีเลิกกัน
การที่แบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรไม่มีข้อความแจ้งสิทธิในอันที่จะปฏิเสธหรืออุทธรณ์โต้แย้งการกระทำความผิดตามที่ระบุไว้ในใบสั่ง และยังปรากฏคำเตือนว่าหากมิได้ชำระค่าปรับภายในกำหนดโดยไม่มีเหตุอันสมควร อาจต้องรับผิดและต้องรับโทษอีกกระทงหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีความผิด และมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับตามใบสั่งดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่อาจปฏิเสธ โต้แย้ง หรือดำเนินการในประการอื่นได้ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครองไว้ ดังนั้น ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 จึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 29 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดและก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ออกประกาศพิพาทโดยมีบัญชีแนบท้ายประกาศกำหนดจำนวนค่าปรับไว้เป็นการล่วงหน้าในอัตราคงที่ แต่มาตรา 140 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.จราจรทางบกฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดว่า เมื่อปรากฏแก่เจ้าพนักงานจราจรว่า ผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่เป็นความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนและมีโทษปรับ เจ้าพนักงานจราจรจะว่ากล่าวตักเตือนหรือออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ผู้นั้นชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบก็ได้ โดยเกณฑ์การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบและแบบของใบสั่งตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประกาศกำหนด
ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่พิพาทดังกล่าวจึงมิได้มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจว่า กรณีที่ผู้ขับขี่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ หรือกฎหมายอื่นเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง การกระทำของผู้ขับขี่ดังกล่าวสมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะว่ากล่าวตักเตือน เช่น กรณีมีเหตุจำเป็น หรือเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก หรือการกระทำของผู้ขับขี่สมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะออกใบสั่งให้ผู้นั้นชำระค่าปรับหรือไม่ และเป็นจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้เป็นจำนวนเท่าใด หรือแม้แต่กรณีที่เจ้าพนักงานจราจรไม่พบด้วยตนเอง หรือเป็นการใช้เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ เจ้าพนักงานจราจรย่อมมีดุลพินิจดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน
ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับกับผู้กระทำความผิดแทนเจ้าพนักงานจราจรหรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งอื่น อันเป็นการขัดหรือแย้งกับมาตรา 140 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ แห่งพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2562 จึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวจะถูกยกเลิกโดยประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถ หรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 23 มี.ค. 2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2566 เป็นต้นมา แต่ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่มีเนื้อหาเช่นเดียวกันกับประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ถูกยกเลิก เพียงแต่กำหนดจำนวนค่าปรับในอัตราเดิมหรือสูงขึ้นจากอัตราเดิม และกำหนดจำนวนค่าปรับสำหรับความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว และยังเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับกับผู้กระทำความผิดแทนเจ้าพนักงานจราจรหรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งอื่น
ประกาศฉบับที่ออกมาภายหลังนั้นจึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน และไม่อาจถือได้ว่าเหตุแห่งการฟ้องคดี เพื่อขอให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 หมดสิ้นไป เพียงแต่ศาลไม่จำต้องกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนประกาศฉบับเดิมดังกล่าว และโดยที่ในการกำหนดคำบังคับของศาลโดยสั่งให้เพิกถอนกฎ ศาลมีอำนาจกำหนดว่าจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลไปในอนาคตถึงขณะใดขณะหนึ่ง หรือจะกำหนดให้มีเงื่อนไขอย่างใดก็ได้
เมื่อประกาศพิพาทในคดีนี้ถือเป็นเครื่องมือหรือมาตรการสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานจราจร ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 สามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศพิพาททั้งสองฉบับได้ โดยการกำหนดรูปแบบใบสั่งให้มีข้อความคำเตือนดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหรือโต้แย้งการกระทำความผิดตามใบสั่งได้ และกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้ให้มีลักษณะที่เจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลพินิจให้เป็นไปตามมาตรา 140 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2562 กรณีจึงยังไม่สมควรพิพากษาให้เพิกถอนประกาศพิพาททั้งสองฉบับให้มีผลในทันที หรือให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าว
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก