หนุ่มขายโทรศัพท์ โร่แจ้งความ หลังโดนบุกชกหน้า-ชักมีดขู่ ถึงในห้างฯ เผยเคยโดนผู้ก่อเหตุทำร้าย-ฉกสร้อยทอง หลังไม่พอใจที่ไปขอชนแก้วในร้านเหล้า เมื่อปี 66 แต่คดีกลับเงียบ จนมาถูกทำร้ายอีกครั้ง
จากกรณีเมื่อวันที่ 5 ก.พ 68 ที่ผ่านมา เวลา 18.27 น. ร.ต.อ. เสนีย์ ฉิมงาม พนักงานสอบสวน สภ.ปราสาท อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งเหตุว่า มีคนโดนทำร้ายร่างกาย ถูกชกต่อยบริเวณใบหน้า และคนก่อเหตุได้ชักมีดปลายแหลมออกมาเพื่อจะแทง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.พ.68 เวลา 18.27 น. ภายนในห้างฯ แห่งหนึ่ง พื้นที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ โดยผู้เสียหายเป็นพนักงานที่ทำงานในห้างฯ ดังกล่าว คือนายธนากร อายุ 28 ปี
โดยผู้ที่ก่อเหตุคือนายโยธิน อายุ 28 ปี ชาว อ.ปราสาท โดยภาพจากกล้องวงจรปิด เผยให้เห็นนายโยธิน ที่เข้าไปในห้างฯ ดังกล่าว และมีท่าทีที่ปกติก่อนที่จะชกต่อยไปที่ใบหน้า นายธนากร 1 ครั้ง ก่อรจะชักมีดที่แนบมากับเอวออกมาข่มขู่ และชี้หน้าด่าอย่างที่เห็นในคลิป และให้ขอโทษ
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์สงบลง นายโยธิน ได้เดินหลบหนีไปอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นผู้เสียหายและครอบครัวจึงเดินทางมาแจ้งความที่ สภ.ปราสาท เพื่อเอาผิดคนก่อเหตุ พร้อมกับไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเพื่อเก็บใบแพทย์เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีแล้วหลังเกิดเหตุ
โดยวันนี้ (7 ก.พ. 68) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับทางครอบครัวนายธนากร ผู้เสียหาย ในพื้นที่ อ.ปราสาทฯ โดยนายธนากร ตนทำงานอยู่ที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือในห้างฯ นายโยธิน เดินเข้ามาหาตน พร้อมพูดว่าให้ลงไปคุยข้างล่าง ซึ่งตอนนั้นตนไม่ไป นายโยธิน จึงใช้กำปั้นต่อยมาที่หน้าแก้มขวา 1 ครั้ง จากนั้นได้ชักมีดปลายแหลมที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาพร้อมทำท่าจะแทง ตนจึงวิ่งไปหลบที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน
ตอนนั้น นายโยธิน ได้เอามีดชี้มาที่หน้าพร้อมกับให้ตนเองขอโทษ ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ขอโทษ แต่นายโยธิน ยังคงด่าอยู่แบบนั้น ซึ่งตนเองไม่ได้รู้จักกับคนก่อเหตุเป็นการส่วนตัวมาก่อน ย้อนไปเมื่อปี 2566 ตนเคยมีเรื่องกับายโยธิน ต้นเหตุมาจากที่ตนไปเจอ นายโยธิน ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ตนได้ไปขอชนแก้วรอบวง จนทำให้ายโยธิน ไม่พอใจและได้ตามตนเองไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะทำร้ายและได้กระชากสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทติดมือไปด้วย ตนเองไปแจ้งความแล้วแต่เรื่องไม่คืบหน้า รู้สึกเสียใจที่เรื่องเก่ายังไม่คืบหน้า ต้องมาเจอเรื่องใหม่
อยากฝากไว้ถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ติดตามตัวคนก่อเหตุ ให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะเกรงว่าคนก่อเหตุจะกลับมาทำร้ายอีก