ศาล รธน. ตีตกคำร้องสั่งระงับภาคประชาชนเคลื่อนไหวเรียกร้องรัฐบาลยกเลิก MOU 44 ไทย-กัมพูชา ชี้ห่างไกลเกินกว่าเหตุใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง
วันนี้ (25 ก.พ.68) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ นายนิยม นพรัตน์ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า บุคคลและกลุ่มบุคคลผู้ถูกร้อง รวม 7 คณะ (ผู้ถูกร้องที่ 1-7) มีพฤติการณ์อันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ค.ศ. 2001 หรือ MOU 2544 เพื่อทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มของพวกตนและก่อความวุ่นวาย จนเกิดสภาพที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพื่อนำไปสู่การทำรัฐประหาร เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
นายนิยม ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) เมื่อวันที่ 3 ม.ค.68 และวันที่ 13 ม.ค.68 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยอัยการสูงสุด เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสาร ประกอบไม่มีมูลเหตุเพียงพอที่จะรับดำเนินการเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ผู้ถูกร้องทั้ง 7 เลิกการกระทำดังกล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ คำร้องปรากฏว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ถึงที่ 7 ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง เป็นการแสดงความคิดเห็นและทำกิจกรรมทางการเมืองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคัดค้าน MOU 2544 ซึ่งเป็นสิทธิหรือเสรีภาพในการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล
ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอและยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 7 ได้กระทำให้เป็นผลล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง