สหรัฐฯ พบผู้เสียชีวิตจาก “โรคหัด” แล้ว 2 คน ในรอบเกือบ 10 ปี หลังผู้ป่วย “โรคหัด” พุ่งสูงขึ้นถึง 5 เท่า ในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งขณะนี้คาดว่ามีผู้ติดเชื้อกว่า 120 คน
วันนี้ (27 ก.พ. 68) ทาง โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐฯ เผยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า มีรายงานการผู้ป่วยโรคหัดในรัฐเท็กซัส เสียชีวิตแล้ว 2 คน และมีคนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 20 คน ซึ่งคาดว่าขณะนี้มีผู้ติดเชื้อขณะนี้ 124 คน
ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขของรัฐเท็กซัส รายงานว่า หนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นเด็กในรัฐเวสต์เท็กซัส ที่ไม่ได้รับวัคซีน และเสียชีวิตในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นรายงานการเสียชีวิตจากโรคหัดครั้งแรกในสหรัฐฯ ในรอบเกือบ 10 ปี ซึ่งตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ผู้เสียชีวิตจากโรคหัดในสหรัฐฯ คนล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2015 โดยอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดในสหรัฐฯ ที่แพร่กระจายทางอากาศผ่านทางเดินหายใจอยู่ที่ 1-3 คน จาก 1,000 คน
ก่อนหน้านี้ ทางศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ (CDC) เผยว่า ในปีนี้มีรายงานพบผู้ป่วย “โรคหัด” เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ซึ่งทางศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ ระบุว่า กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อ เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือไม่ทราบสถานะการฉีดวัคซีน ส่วนอีกไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยทั้งหมด ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน 1 โดส และไม่มีผู้ป่วยรายใดได้รับวัคซีน 2 โดส ตามที่หน่วยงานแนะนำ
ทั้งนี้ การระบาดของโรคหัดในครั้งนี้ไม่ได้อยู่แค่ในรัฐเท็กซัส แต่ยังพบผู้ป่วยในรัฐนิวเม็กซิโก และรัฐอิ่น ๆ โดยในนิวเม็กซิโกมีผู้ป่วย 9 คน ในจำนวนนี้ 4 คนเป็นเด็ก