สายไหมต้องรอดพาร้อง สธ. ใช้สิทธิประกันสังคม เคสแรกล้มคางแตก หมอเย็บแผล 6 เข็ม ถอนฟัน 2 ซี่ ที่แท้ขากรรไกรหักแตกละเอียด ต้องทนปวด ตอนนี้กินได้แต่อาหารเหลว อีกคนเป็นสาวตั้งครรภ์ หมอบอกแท้งลูกให้ยาปฏิชีวนะสำหรับคนแท้ง ต่อมาท้องโตขึ้น อายุครรภ์ 3 เดือน หวั่นเด็กได้รับอันตราย
วันนี้ (17 มี.ค. 68) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหาย 2 ราย เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานีเป็นตัวแทนรับเรื่อง
ผู้เสียหายเคสแรก นายสมหมาย อายุ 42 ปี เล่าว่า เมื่อวันที่ 18 ก.พ.68 ตนประสบอุบัติเหตุเป็นลมล้มหน้ากระแทกพื้นหน้าบ้าน ทำให้คางแตก หลังเกิดเหตุได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ตามสิทธิประกันสังคม หมอเย็บแผลที่คาง 6 เข็ม พร้อมแจ้งว่ามีฟันหัก 6 ซี่ แต่ถอนได้เพียงแค่ 2 ซี่ เพราะเลือดไหลไม่หยุด จึงต้องหยุดการถอนฟันเอาไว้ก่อน การรักษามีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 2,600 บาท เพราะสิทธิประกันสังคมดูแลแค่ 900 บาท
วันต่อมา มีอาการเจ็บลิ้นอ้าปากไม่ได้ หมอนัดให้มาล้างแผลที่คางทุกวัน จนถึงกำหนดตัดไหมในอีก 5 วัน ก็ยังมีอาการเจ็บ หมอให้กลับไปสังเกตอาการอีก 2 สัปดาห์ กระทั่งวันที่ 28 ก.พ.68 ครอบครัวตัดสินใจพาไปรักษาที่ศูนย์การแพทย์แห่งหนึ่ง หมอเอกซเรย์พบว่าขากรรไกรหักทั้ง 2 ข้าง ส่งตัวผู้เสียหายมาที่โรงพยาบาล เอกซเรย์ 3 มิติ พบว่าขากรรไกรหักแตกละเอียด ทางโรงพยาบาลแจ้งให้กลับมารักษาที่เดิมตามสิทธิประกันสังคม ผู้เสียหายกลัวจะซ้ำรอย จึงไม่กล้ากลับไป ทางโรงพยาบาลเอกชนก็นิ่งเฉย ไม่ติดตามอาการ
เบื้องต้น ผู้เสียหายต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเอง รวม 13,000 บาท ตอนนี้ยังไม่ได้ผ่าตัด ต้องกินอาหารเหลว จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงผลการรักษา และการวินิจฉัย และต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมกับสิ่งที่โรงพยาบาลดังกล่าว บกพร่องต่อการวินิจฉัย
ส่วนผู้เสียหาย เคสที่ 2 นางสาวจุไรวรรณ อายุ 34 ปี บอกว่า ขณะตั้งครรภ์ได้ 5 สัปดาห์ หมอวินิจฉัยว่าแท้งลูก จึงให้ยาปฏิชีวนะสำหรับคนแท้ง ต่อมาพบว่าท้องใหญ่ขึ้น จึงไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลอีกแห่ง พบว่ายังตั้งครรภ์อยู่ ได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าลูกอาจพิการจากผลของยาที่กินหรือไม่
ด้าน นพ. อภิชน จีนเสวก รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี เป็นตัวแทนรับเรื่อง บอกว่า เคสแรกจะส่งเรื่องให้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) และหน่วยงานที่ดูแล รพ.เอกชนตรวจสอบ ปกติโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องมีมาตรฐานการรักษาอยู่แล้ว ส่วนเคสที่สองหญิงตั้งครรภ์ที่มีการวินิจฉัยผิดพลาดว่าแท้ง เบื้องต้นทราบว่า เคสนี้เป็นคุณหมอทั่วไปมาตรวจให้ ไม่ใช้หมอสูติฯ จากนี้จะให้หมอผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ว่ามีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์หรือไม่อย่างไร เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ต่อไป โดยจะดำเนินการทั้ง 2 เรื่องให้เร็วที่สุด
ด้านนายเอกภพ เชื่อว่า ปัญหาอาจมาจากการระบบ ค่ารักษายังครอบคลุมแค่ 900 บาท ต่างจากสิทธิบัตรทอง จึงควรมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น