ซุง ศตาวิน เปิดใจสาเหตุที่ให้ ดิว อริสรา ยืมเงินทั้งที่ไม่รู้จักกัน เพราะอยากช่วยรุ่นพี่ของตัวเอง และช่วยดิว อริสรา เพราะตอนนั้นกำลังท้อง แต่ตอนนี้ไม่โกรธอะไรแล้ว เพราะส่วนของตนเองได้คืนหมดแล้ว ฝากถึงดิว อริสรา อยากให้เข้มแข็ง รู้ว่าเรื่องมันหนัก แต่ถ้าผ่านไปได้ มันก็ดี
20 มีนาคม 2568 ซุง ศตาวิน เผยถึงประเด็นเรื่องที่ว่า ดิว อริสรา ขอยืมเงินจำนวน 12.5 ล้านบาท ซึ่งจริงๆแล้ว ดิว อริสรา ยืมเงินรุ่นพี่ที่ชื่อแทม 20 ล้านบาท แต่แทมมีเงินไม่พอ มี 7.5 ล้านบาท จึงมาขอยืมซุง ศตาวิน อีก 12.5 ล้านบาท โดยวันนัดรับเงิน คือ 3 กรกฎาคม 2567 ได้นัดกันที่บ้านของแทม ซึ่งผู้ที่มารับเงิน คือ แม่ของดิว อริสรา และทางฝั่งของดิว อริสรา ได้นำเพชรเป็นต่างหูคู่หนึ่งมาค้ำประกันไว้ ซึ่งบอกว่ามีมูลค่า 20 ล้านบาท แต่ภายหลังจากมอบเงินเสร็จแล้ว ได้มีการนำต่างหูเพชรไปตรวจสอบหลายที่ ต่างพูดตรงกันว่า เพชรนี้ไม่มีบาร์โค้ด มีความเป็นไปได้ว่า คือ เพชรปลอม แต่อย่างไรก็ตามเงิน จำนวน 12.5 ล้านบาท ซุงศตาวิน ได้รับคืนครบแล้ว
เรื่องของตนเองกับดิว อริสรา จบแล้วตั้งแต่ที่ดิวคืนเงินให้ครบในช่วงเดือนสิงหาคม หลังจากนั้น 6 เดือนก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลย ตอนนั้นยังไม่มีข่าวอะไรแบบนี้ สำหรับดิว อริสรา ตนเองก็ติดตามผลงานอยู่ โดยที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ที่มารู้จักก็ผ่านรุ่นพี่ คือ แทม ที่โทรเข้ามาว่าอยากจะช่วย ซึ่งพี่แทมคนนี้คอยช่วยเหลือตนเองมาตลอด ถ้าไม่มีรุ่นพี่คนนี้ตนเองก็อาจจะไม่มีวันนี้ ซึ่งการช่วยเหลือก็เหมือนเป็นการช่วยเหลือรุ่นพี่ตัวเองด้วย และให้ยืม เพราะเชื่อใจรุ่นพี่
ซุง ศตาวิน ยังเผยอีกว่า ณ ตอนแรกไม่ได้เผื่อใจในการให้ยืมเงิน เชื่อใจทั้งหมดเลย คิดว่าเดี๋ยวก็คงได้คืน แต่พอถึงวันกำหนดคืนเงินครั้งแรก เริ่มใจแป้วนิดนึง แต่พอเขาขอเลื่อนอีกรอบนึงเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะจำนวนเงินมันเป็นเงินที่เยอะสำหรับตนเองมาก เพราะตนเองทำงานเก็บเงิน และเงินก้อนนั้นมันเป็นเงิน Saving ของตนเองทั้งหมด จนช่วงท้ายๆตอนที่เขาไม่คืน ก็เริ่มทวงเงิน ตนเองไม่ได้อยากได้ดอกเบี้ยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงอยากได้เงิน 12 ล้าน 5 แสนบาทคืนเท่านั้น
"เจตนาของผมคือการช่วย ณ ตอนนั้นก็คือช่วยรุ่นพี่ผม และก็ช่วยพี่คนนึงที่ท้องอยู่ เพื่อไม่ให้บริษัทเขาล้ม"
ส่วนเงินที่ ดิว อริสรา ยังติดรุ่นพี่อยู่ ยังคืนไม่ครบ แต่ไม่ทราบจำนวนแน่ชัดว่าคงเหลือเท่าไหร่ เรื่องที่เกิดขึ้นยอมรับว่าช็อก แต่ก็รู้สึกว่าเราไม่รอบคอบเองหรือเปล่า ไม่โทษใคร โทษตัวเองที่รอบคอบไม่พอ จะให้ใครยืมเงินทำไมถึงไม่ดูกฎหมาย ทำไมถึงเชื่อใจและให้ยืมโดยที่ไม่มีอะไร เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้ตัวเองโตขึ้น
เมื่อวานหลังบินกลับจากเกาหลี ตนเองนั่งอ่านสรุป ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า ตนเองต้องไปให้การอะไรกับตำรวจไหม แต่ตนเองก็รู้สึกว่า อย่างน้อยขอได้ออกมาชี้แจงเลือกทั้งหมด โดยไม่ปิดบังอะไรเลยตามหลักฐานทั้งหมด เพราะคิดว่า ความจริงมันก็คือความจริง ก็แค่พูดความจริงก็จบ หลังจากนี้หาก พี่เมย์ วาสนา ขอความร่วมมือ ก็ยินดีให้ความร่วมมือ ตนเองได้นั่งดูรูปภาพสิ่งของต่างๆที่พี่เมย์ วาสนา ตามหา และย้อนไปดูแช็ตที่ ดิว อริสรา ส่งรูปสร้อยมาเส้นหนึ่ง ซึ่งดิว อริสรา บอกว่า สร้อนเสีนนั้นคือสร้อยของตนเอง ที่กำลังจะขาย ปรากฎว่า มันไปสร้อยเส้นเดียวกับของพี่เมย์ วาสนา เพราะหน้าตาเหมือนกันเลย และคาดว่าสร้อยแบบนี้มีไม่กี่เส้นในไทย ตนเองจึงตัดสินใจออกมาพูดเรื่องทั้งหมด เพื่อให้ฝั่งพี่เมย์ วาสนา ทำงานง่ายขึ้น ถ้าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องก็ยินดีถ้าทำให้ทุกคนทำงานง่ายขึ้น ยินดีที่จะเข้าร่วมตามกฎหมายทั้งหมด
ตนเองอยากฝากไปถึง ดิว อริสรา อยากให้เข้มแข็ง รู้ว่าเรื่องมันหนัก แต่ถ้าผ่านไปได้ มันก็ดี ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายหมด ถ้าเข้ากระบวนการตามกฎหมายแล้ว ก็คงจบแล้ว แต่จะให้โอกาสหรือไม่ให้โอกาสใคร ก็เป็น Personal ของแต่ละคนแล้ว หลังจากนี้ถ้าหากเจอกันก็จะยกมาไหว้ได้ปกติ ถามว่าโกรธไหมก็ ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว เพราะได้เงินคืนตามปกติแม้ว่าจะช้าหน่อย และคิดว่าในอนาคตก็คงจะไม่ได้เจอกัน หลังจากนี้ถ้ามีคนมาขอยืมเงินอีกก็คงต้องดูและให้ละเอียดขึ้น ถ้าสมมุติว่าต้องช่วยจริงๆก็อาจจะเปลี่ยนวิธีเป็นว่าให้ไปเลยน่าจะโอเคกว่า ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้ ตนเองโตขึ้นคิดว่าทำให้รอบคอบขึ้นในการเป็นผู้ใหญ่ ในวันข้างหน้า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีในชีวิต ก็เรียนรู้ กับมัน พยายามแก้ปัญหากับมัน ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน