หญิงร้องทุกข์ ถูกอดีตสามีหมอ และแม่สามี บุกชิงตัวลูก 1 เดือน ทั้งๆที่เลิกรากันไปตั้งแต่ท้องได้ 16 สัปดาห์ แต่ในวันที่คลอดลูก อดีตสามีกลับอยากได้ลูกคืน ส่งทนายความมา บังคับทำสัญญา ระบุ ห้ามยุ่งเกี่ยงกับลูกโดยเด็ดขาด ถ้าให้ฝั่งสามีรับผิดชอบ แต่หากจะเลี้ยงดูบุตรเอง แต่จะไม่ได้รับค่าใช้จ่ายใด ๆ
3 เมษายน 2568 หญิงร้องทุกข์ หลังถูกอดีตสามี ซึ่งเป็นหมอ รพ.เอกชนชื่อดัง กทม. และแม่ของอดีตสามี บุกมาที่บ้าน เพื่อชิงตัวลูกน้อยวัย 1 เดือน หญิงสาวผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเอง ได้แต่งงานกับสามีที่เป็นหมอ รพ.เอกชนชื่อดัง กทม. ตั้งแต่อายุ 26 ปี หลังรู้จักกันผ่านแอปพลิเคชัน รายได้สามีแตะ 200,000 บาทต่อเดือน ! ช่วงแรกที่รู้จักกัน ตนเองก็เอ๊ะใจ เพราะฝั่งอดีตสามี ให้หารครึ่งทุกค่าใช้จ่าย แม้กระทั่งค่ารถไฟฟ้าบีเอส
หลังจากนั้น เริ่มมีเรื่องราวแปลก ๆ เกิดขึ้น ครอบครัวอดีตสามี ไม่ยอมรับตนเอง ห้ามใช้รูปครอบครัวในคลิปงานแต่ง แม้กระทั่งวันงาน ยังส่งตัวแทนมาแค่ 3 คน และตนเอง ก็ไม่ได้จอทะเบียนสมรสกับอดีตสามี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อดีตสามี ไม่เคยให้ตนเองเข้าบ้านไปหาพ่อแม่ เวลาไปที่บ้านตนเองจะก็นั่งรอในรถนานถึง 2 ชั่วโมง แบบห้ามเข้าห้องน้ำ ห้ามสตาร์ทรถ ทั้ง ๆ ที่ตนเองกำลังท้อง แต่หนักสุด แม่ของอดีตสามี มีการใช้คำพูดว่า ถ้าก้าวขาเข้าบ้าน จะแจ้งความ
หลังแต่งงานตนเองต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ที่หอพัก แม้จะกำลังท้อง แต่ก็ยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ต่อมาสามีตัดสินใจเลิกรากับตนเอง โดยหลังเลิกรา อดีตสามีห้ครอบครัวมาบุกงัดห้อง เพื่อเก็บของใช้ของอดีตสามีไป ซึ่งคนที่มาเก็บของแสดงท่าทางรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ขณะเก็บของสวมถุงมือ และทิ้งทันทีหลังใช้เสร็จ หลังเลิกรากัน ยังมีการให้เงินค่าเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท แต่ตนเองตัดสินใจกลับบ้านต่างจังหวัด เพราะทนความกดดันไม่ไหว
ในวันที่ตนเองคลอดลูก อดีตสามีกลับอยากได้ลูกคืน ให้ทนายทำสัญญา ระบุ ห้ามตนเองยุ่งเกี่ยงกับลูกโดยเด็ดขาด ถ้าให้ฝั่งสามีรับผิดชอบ แต่หากจะเลี้ยงดูบุตรเอง แต่จะไม่ได้รับค่าใช้จ่ายใด ๆ เลยจากฝั่งอดีตสามี หลังจากนั้นมีการตกลงกันว่า จะให้ตนเองเจอลูกแค่ 1-2 ชั่วโมงในที่สาธารณะ ห้ามนอนค้างคืน ห้ามผูกพันธ์ ซึ่งไม่ใช่แบบที่ต้องการ นานวันเข้าตนเองได้เห็นหน้าตาลูกน้อยลง จนถึงวันเกิดเหตุ 21 มีนาคม เป็นคิวที่ตนเองจะได้เจอหน้าลูก แต่เมื่อมารับกลับ ฝั่งอดีตสามีกลับมีพฤติกรรมจะไม่นำลูกมาคืน ซ้ำ ยังพูดว่า ไม่รู้ว่าจะให้เจออีกเมื่อไหร่ จนถึงตอนนี้ ตนเองไม่ได้เจอหน้าลูกมาแล้วกว่า 10 วัน ทั้ง ๆ ที่ อดีตสามีเองก็ไม่เคยจดรับรองบุตรเลยด้วยซ้ำ หลังจากนั้น ยังมีการข่มขู่ผ่านคนกลาง หาว่าตนเองทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงทั้งตัวอดีตสามี และต่อโรงพยาบาลต้นสังกัด
ล่าสุด ทางมูลนิธิเป็นหนึ่งรับเรื่องแล้ว เชื่อว่าแม่ของอดีตสามีเป็นตัวแปรสำคัญ ฝั่งอดีตสามีก็โตแล้ว เป็นถึงหมอ กลับให้แม่เป็นคนดำเนินการ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องในครอบครัว วันนี้จึงตัดสินใจ พาแม่เข้าร้องทุกข์กับนางกองตรีธนกฤต ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เบื้องต้น ในทางจริยธรรมของความเป็นแพทย์แล้ว ต้องให้แพทยสภาเป็นผู้ตรวจสอบ แต่ตามข้อกฏหมายแล้ว จะเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับทำงานและการประกอบวิชาชีพมากกว่า แต่จะช่วยตรวจสอบให้แน่นอนก่อน
ส่วนพฤติกรรมการแย่งลูกนั้น ต้องตรวจสอบว่าสามารถแจ้งข้อหาใดได้บ้าง เพราะลูกวัยแค่ 1 เดือน จำเป็นต้องได้รับนมแม่ รวมไปถึงต้องตรวจสอบสัญญาที่ฝั่งอดีตสามีบังคับให้ยินยอม และการบุกรุก งัดห้อง ซึ่งจะมีฝ่ายกฏหมายเข้ามาดูรายละเอียดทั้งหมด และเป็นตัวกลางหารือกันทั้งสองฝ่าย หากอยู่ด้วยกันไม่ได้จะเข้าสู่กระบวนการการฟ้องศาล อยู่ด้วยกันไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ต้องอยู่ร่วมกันในฐานะพ่อแม่ของลูกให้ได้ ซึ่งหากเด็กกลับมาอยู่กับแม่แล้ว ต้องขอให้ศาลเยาวชนและครอบครัวคุ้มครองชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบยังอยู่ในฝั่งแม่เพราะพ่อไม่ได้มีจดรับรองบุตร
ด้านกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะมีการเข้าไปตรวจสอบว่าเด็กเป็นอย่างไร และดูแลเรื่องของสภาพครอบครัวของทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงความสามารถในการเลี้ยงดู ให้เด็กอยู่ในความปลอดภัยมากที่สุด หากตกลงกันไม่ได้ อาจจะต้องไปทบทวนข้อกฏหมายอีกครั้งว่ามีความสามารถของฝั่ง พม.ทำได้แค่ไหนบ้าง