"ไทย" เร่งแก้ "นอมินี-สินค้าสวมสิทธิ์-ด้อยคุณภาพ" เตรียมตัวก่อนเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ ในเวลาที่เหมาะสม
วันนี้ (25 เม.ย.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าว ผลการประชุมแนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเฉพาะการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ และ ธุรกิจบริการในรูปแบบของนอมินี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงมาตรการตรวจสอบสินค้าด้อยคุณภาพ จะเริ่มตั้งแต่ต้นทาง ไม่ต้องรอให้ร้องเรียน หากไม่สามารถชี้แจงได้ว่า ต้นทุนการผลิต ไม่สอดคล้องกับราคาขายที่ถูกเกินไปได้อย่างสมเหตุสมผล หรือ สินค้าไม่ได้มาตรฐาน จะสั่งยกเลิกห้ามจำหน่ายอย่างทันท่วงที สินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็เช่นกัน ต้องถอดสินค้าออกห้ามจำหน่าย และ เจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก หากจะมาทำธุรกิจค้าขายในไทย ต้องจดทะเบียนในไทยซึ่งเป็นมาตรการที่รัฐบาลจะเร่งทำโดยด่วน
กรณีการตรวจสอบบริษัทนอมินี จะมีการตรวจสอบผู้ถือหุ้นว่า เป็นผู้ลงทุนจริงหรือไม่ เงินลงทุนเป็นของใคร ซึ่งจะประสานกับกระทรวงพาณิชย์ ส่วนกรณีจดจัดตั้งอยู่ในต่างจังหวัด และกรณีการถือครองที่ดินของบริษัท จะประสานกับกระทรวงมหาดไทยให้เข้าไปตรวจสอบ
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ได้ดำเนินคดีกับการนำเข้าสินค้าด้อยคุณภาพแล้วกว่า 29,000 คดี จับกลุ่มบริษัทนอมินีได้แล้ว 852 แห่ง โดยข้อมูลปัจจุบันพบว่า มีบริษัทที่ต่างชาติถือหุ้นอยู่กว่า 49,000 แห่ง ก็จะเข้าไปตรวจสอบกรณีนอมินีต่อไปด้วย
ขณะที่ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่า การตรวจสอบคุณภาพสินค้า เน้นถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยเฉพาะต้องได้มาตรฐาน มอก. อย. และ ต้องมีสลากภาษาไทยกำกับ
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติม ถึงเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ ทั้งกรณีส่งผ่านไทยเพื่อส่งออกในทันที และ กรณีนำเข้ามาแปรรูปบางส่วน แล้วส่งขายออกไปอีกทอด ที่สหรัฐฯ มีความกังวล ส่งผลต่อการตั้งกำแพงภาษีที่ประกาศออกไป ว่า สหรัฐฯ ได้ส่งรายการสินค้าที่ต้องจับตารวม 65 ชนิด ให้ไทย ซึ่งไทยได้ขอข้อกำหนดที่ชัดเจน ว่าอะไรเข้าข่ายการเป็นสินค้าสวมสิทธิ แล้วจึงเข้าไปตรวจสอบ ภายใต้การประสานงานกับศุลกากรสหรัฐฯ ทราบว่า ฝ่ายสหรัฐฯ พอใจในระดับหนึ่ง
รวมไปถึงการตรวจสอบ เรื่องการพำนักในไทยอยู่เกินกำหนดระยะอนุญาตจากวีซ่า ของบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติ จะต้องถูกตรวจสอบด้วยเช่นกัน ว่ามีการเข้ามาผิดวัตถุประสงค์ หรือ แอบทำงานด้วยหรือไม่ ถือเป็นเรื่องดี ที่ไทยได้เตรียมการ ก่อนที่จะมีการเจรจาอย่างเป็นทางการกับสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม และ ภาวนาหวังให้สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ดีขึ้น เหลือเพียงคลื่นลูกไม่ใหญ่ เพื่อให้ไทยทำงานได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาล ขอย้ำว่า การตรวจสอบที่เกิดขึ้น มีความเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่การกีดกันการทำธุรกิจแต่อย่างใด