ยานคอสมอส 482 ซึ่งเป็นยานสำรวจดาวศุกร์ของโซเวียต มีโอกาศตกลงสู่พื้นโลกภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นยานที่ล้มเหลวตั้งแต่ยุคสงครามเย็น และโคจรอยู่รอบโลกนานกว่า 53 ปี ความเสียหายน้อยนิดมาก แต่ไม่เป็นศูนย์
วันนี้ (7 พ.ค. 68) ทาง NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผยว่า ยานคอสมอส 482 (Kosmos 482) ของอดีตสหภาพโซเวียต ที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ.1972 หรือ พ.ศ.2515 โดยมีเป้าหมายคือเป็นยานสำหรับลงจอดบนพื้นผิวของดาวศุกร์ แต่ระหว่างเดินทาง “ยานคอสมอส 482” ไม่สามารถออกจากวงโคจรระดับต่ำรอบโลกได้ และแยกออกเป็นชิ้นส่วนหลายชิ้น ซึ่งชิ้นส่วนใหญ่ ๆ รวมถึงยานลงจอดยังคงค้างอยู่ในวงโคจรรอบโลกมานาน 53 ปีจนถึงปัจจุบัน สาเหตุเกิดจากจรวดท่อนบนของจรวดโซยุซ (Soyuz) ที่ใช้ส่ง “ยานคอสมอส 482” ไปยังดาวศุกร์ได้หยุดการทำงานก่อนกำหนด ทำให้ยานถูกทิ้งค้างไว้ในวงโคจรรอบโลก
ล่าสุด Marco Langbroek นักติดตามดาวเทียมในห้วงอวกาศรอบโลกชาวเนเธอร์แลนด์ พบว่า ยานลำนี้อาจจะตกลงสู่โลกแบบไร้การควบคุมในช่วงวันที่ 9-10 พฤษภาคมนี้ หลังจากการติดตามชิ้นส่วนยานลำนี้ด้วยกล้องโทรทรรศน์มาหลายปี
ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตกกลับสู่โลกของ “ยานคอสมอส 482” คือ ยานลงจอดที่ออกแบบให้สามารถฝ่าบรรยากาศหนาทึบของดาวศุกร์ อาจสามารถรอดจากการฝ่าบรรยากาศโลกที่เบาบางกว่าบรรยากาศดาวศุกร์ได้ นั่นหมายความว่า ยานอาจไม่ได้ถูกเผาไหม้ไปจนหมดในชั้นบรรยากาศโลก สามารถฝ่าชั้นบรรยากาศและตกลงสู่พื้นผิวโลก
โดย “ยานคอสมอส 482” เป็นยานสำรวจดาวศุกร์ที่เป็นฝาแฝดกับ “ยานเวเนรา 8” (Venera8) ของอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งเวเนรา 8 เป็นยานสำรวจลำที่ 2 ที่สามารถลงจอดบนพื้นผิวดาวศุกร์ โดยถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ.2515 ก่อนลงจอดสำเร็จเมื่อเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน และส่งข้อมูลกลับมายังโลกนาน 50 นาที ก่อนที่จะยุติการทำงานจากสภาพแวดล้อมโหดร้ายบนดาวศุกร์
ขณะที่ “ยานคอสมอส 482” ที่เป็นยานฝาแฝด ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศหลังยานเวเนรา 8 เพียง 4 วัน เมื่อออกจากวงโคจรรอบโลกไม่สำเร็จ ก็กลายเป็นขยะอวกาศอยู่รอบโลกและค่อย ๆ ลดระดับลงมา โดยชิ้นส่วนของยานที่ค้างอยู่ในวงโคจรรอบโลกเป็นยานลงจอดที่มีมวล 495 กิโลกรัม และสามารถทนต่อความร้อนสูงในการพุ่งฝ่าบรรยากาศหนาทึบได้
โดยข้อมูลชิ้นส่วนยานคอสมอส 482 จะตกลงสู่โลก ณ พื้นที่ใดและเวลาไหนยังไม่เป็นที่แน่ชัด พอจะประมาณการได้เพียงว่าภายในไม่เกินสัปดาห์นี้ โดยข้อมูลที่ทาง Marco Langbroek ทราบคือ ระนาบวงโคจรของยานเอียงจากระนาบเส้นศูนย์สูตรโลกเป็นมุม 51.7 องศาฯ ดังนั้น ยานสามารถตกลงมาสู่พื้นผิวโลกได้ในบริเวณระหว่างละติจูด 52 องศาเหนือ - 52 องศาใต้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทวีปแอฟริกา, อเมริกาใต้, ออสเตรเลีย, สหรัฐฯ ทั้งหมด, ส่วนหนึ่งของแคนาดา ยุโรป และเอเชีย
ทั้งนี้ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทาง Marco Langbroek ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน Dominic Dirkx ได้พัฒนาแบบจำลองเชิงทฤษฎีในคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการตกของยานคอสมอส 482 ใน TUDAT (TU Delft Astrodynamics Toolbox) ฐานข้อมูลแบบเปิดของซอฟต์แวร์เกี่ยวกับการวิจัยด้านกลศาสตร์การโคจรและอวกาศ ที่พัฒนาและจัดการโดยคณะวิศวกรรมการบินอวกาศ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเดลฟท์ (TU Delft) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ซึ่ง Marco Langbroek ทำงานอยู่ รายงานว่า แม้ยานลงจอดบนดาวศุกร์ลำนี้จะมีร่มชูชีพสำหรับใช้กางเพื่อชะลอความเร็วของยานในบรรยากาศดาวศุกร์ แต่เขาไม่คิดว่าร่มชูชีพอันนี้จะใช้งานได้แล้วในปัจจุบัน จึงมองว่าหากยานรอดจากการพุ่งฝ่าบรรยากาศโลก ยานจะตกลงมาพุ่งชนถึงพื้นผิวโลก และในแบบจำลองยังพบว่า ความเร็วท้ายสุดที่ระดับพื้นผิวโลกในการตกลงมาของยาน อยู่ที่ประมาณ 65-70 เมตร/วินาที ซึ่งชิ้นส่วนยานที่ตกลงมามีมวลเกือบ 500 กิโลกรัม และมีขนาดความกว้าง 1 เมตร ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายและความเสียหายต่อประชาชนจึงใกล้เคียงกับอุกกาบาตโดยทั่วไป ที่ถือว่าน้อยนิดมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นศูนย์
ขอขอบคุณ : พิสิฏฐ นิธิยานันท์ - เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.