คอร์รัปชันในวงการก่อสร้าง ปลอมลายเซ็นวิศวกร เหล็กปลอม ลดสเปกปูนซีเมนต์ องค์กรอิสระ แข่งกันใช้เงินภาษีฟุ่มเฟือยไปกับสิ่งปลูกสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เสียดายนายกฯ พลาดโอกาสแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำ โกงความหวังของประชาชน
วันนี้ (21 พ.ค.68) นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ตั้งคำถามหลังการสอบสวนเหตุตึก สตง. พังถล่ม สังคมไทยได้เห็นอะไร โดยระบุว่า แม้ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาที่เป็นเอกชนมากถึง 17 ราย แต่สิ่งที่สังคมยังคงกังลคือ กระบวนการสอบสวนทำคดีที่อาจไม่รัดกุมเพียงพอ จนทำให้ผู้ต้องหาบางรายหรือแม้แต่ทั้งหมด หลุดพ้นความผิดเหมือนที่เคยขึ้นซ้ำ ๆ ในอดีต
สาเหตุที่ตึก สตง. ถล่มเป็นไปได้ 2 กรณีคือ “คอร์รัปชันหรือความชุ่ย” ของคน แต่เรื่องน่าผิดหวังคือ การที่รัฐบาลลอยตัวจากความรับผิดชอบในการดูแลคดีนี้ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการโกงความรับผิดชอบ โกงความหวังของประชาชน เหตุน่าเศร้าครั้งนี้ยังทำให้สังคมไทยตาสว่างมากขึ้นอีกหลายประการ กล่าวคือ
คอร์รัปชันในงานก่อสร้างภาครัฐและวิกฤตในวงการก่อสร้างไทย เกิดข่าวลือและข้อวิตกกังวลของประชาชนมากมายว่า ที่ตึกพังพินาศเช่นนี้เป็นเพราะความบกพร่องของ วิศวกรและสถาปนิกที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ การคำนวณทางวิศวกรรมโครงสร้าง การควบคุมการก่อสร้าง การแก้ไขแบบ มีใครละเลยมาตรฐานวิชาชีพ ทำงานบกพร่อง ใช้เหล็กปลอม ลดสเปคปูนซิเมนต์ หรือสมรู้ร่วมคิดกันคอร์รัปชันจนตึกพัง มีคนตายมากมาย
มีการตั้งข้อสงสัยว่า โครงการนี้ใช้กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ในการประมูลงาน เพื่อเปิดช่องให้บริษัทต่างชาติเข้ามารับงานขนาดใหญ่ของราชการ แต่เบื้องหลังได้ร่วมทุน แชร์เทคโนโลยีและศักยภาพกันจริง หรือเป็นเพียงกลเลี่ยงกฎหมาย เอกชนไทยกลายเป็นนอมินีที่นั่งกินค่าคอมฯ เท่านั้น
คนไทยช็อกทั้งประเทศ จากข่าวฉาวโฉ่เมื่อวิศวกรผู้ออกแบบ สถาปนิก ผู้ควบคุมการก่อสร้างมากถึง 29 นาย อ้างว่าตนถูกปลอมลายเซ็น สุดท้ายต้องพิสูจน์กันว่า เป็นแค่ข้อแก้ตัว หรือบริษัทมักง่ายปลอมชื่อพวกเขาจริง หรือพวกเขาเป็นมือปืนรับจ้างที่เซ็นชื่อแลกเงินก้อนโต เพราะงานนี้มีคนตายก็ต้องมีคนรับผิดติดคุก
ข่าวน่าสะพรึงกลัวนี้ได้สร้างความวิตกกังวลต่อความมั่นคงของสิ่งปลูกสร้าง ความปลอดภัยในชีวิตของผู้คนและทรัพย์สิน ทำลายเสียชื่อเสียงประเทศชาติ นับเป็นวิกฤตที่ท้าทายจริยธรรม ความรับผิดชอบของวิชาชีพวิศวกรและสถาปนิกไทยอย่างร้ายแรง
แค่ไหนคือจุด “เหมาะสม” ในการใช้เงินแผ่นดิน และอำนาจขององค์กรอิสระฯ คนไทยได้เห็นจะแจ้งว่าหน่วยงานรัฐกำลังแข่งกันใช้เงินภาษีอย่างฟุ่มเฟือยไปกับสิ่งปลูกสร้าง อาคารสถานที่และเฟอร์นิเจอร์ ทั้งซื้อโคตรแพง สร้างใหญ่โต หรูหรา จนถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและเสพสุขจากทรัพยากรของรัฐ ใช้เงินภาษีเกินความเหมาะสม ใช่หรือไม่ นี่คือการตอกย้ำอีกครั้งหลังกรณีหมู่บ้านป่าแหว่ง ที่เชียงใหม่ และตึกสกายไนน์ ของประกันสังคม
อีกคำถามตัวโต ๆ ถึงขอบเขตความรับผิดชอบต่อภาพรวมของประเทศในการที่ สตง. และ องค์กรอิสระฯ มีอภิสิทธิ์ในการบริหารงบประมาณของตนเอง ขณะที่งานก่อสร้างของหน่วยงานรัฐก็ไม่มีใครมาตรวจสอบการออกแบบและความถูกต้อง
ประเทศไม่ควรขับเคลื่อนด้วยการก่นด่า แต่ยังจำเป็น ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินไม่มีจริง ทั้งที่หลังเกิดสึนามิเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่รัฐมักอ้างถึงบ่อยครั้งเมื่อเกิดเหตุร้ายแรง จนเมื่อแผ่นดินไหวเรื่องจึงแดงขึ้นว่า เรื่องที่โม้คำโตมาตลอดนั้นมันใช้การไม่ได้แม้ลงทุนไปแล้วหลายร้อยล้านบาท ในที่สุดหลังถูกก่นด่าทั่วแผ่นดินอีกรอบหนึ่ง จึงมีการทดสอบให้เห็นจริงจังว่าพร้อมใช้งานแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
บทสรุปกับท่าทีของนายกรัฐมนตรีในการรับมือวิกฤต น่าเสียดายที่นายกรัฐมนตรีพลาดโอกาสแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำเมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตท่าน “ไม่ประกาศความรับผิดชอบต่อทุกข์สุขประชาชน ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นประชาชน ด้วยการแสดงถึงความมุ่งมั่น (Political Will) ในนามรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไร ทิศทางการสืบสวนสอบสวน กำหนดบุคคลและหน่วยงานรับผิดชอบ กรอบเวลาที่ชัดเจน ลำดับความเร่งด่วนแต่ละประเด็นก่อนนำไปสู่การดำเนินคดี และบอกกับประชาชนว่าควรทำตัวอย่างไร ควรให้ความร่วมมืออย่างไร”
แต่จะมีใครบอกได้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะทำไม่ได้หรือไม่อยากทำ ไม่คิดจะบริหารจัดการอะไร ไม่สนไม่แคร์ หรือกลัวต้องรับผิดชอบ จึงพูดง่ายๆ กว้างๆ แล้วโยนเป็นภาระของหลายหน่วยงาน ทิ้งให้สังคมกังวลต่อไปว่าคนผิดจะลอยนวลและ “ประเทศจะคงอยู่ในวังวนแห่งการปล่อยผ่านความผิดพลาดที่นำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงต่อไปเช่นนี้” ภาวนาว่าทั้งหมดที่กล่าวมา จะไม่ใช่ “คอร์รัปชันบวกความชุ่ย” ของคนรวมกัน เพราะมันยากเกินไปที่จะเยียวยา