“พิชัย” แจงไทยขาดดุลรวมสุทธิไม่เกินเกณฑ์ มั่นใจ GDP ปีนี้ตรงเป้า ยันรัฐบาลทำงบแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแล้ว เพื่อให้เข้ากับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
วันนี้ (28 พ.ค.68) ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลุกขึ้นชี้แจงนายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ โดยระบุว่า ตนมี 2 เรื่องที่อยากจะเพิ่มเติม เรื่องงบประมาณตนก็กังวลในฐานะคนไทยคนหนึ่ง และขณะเดียวกันก็เข้าใจสถานการณ์และคิดว่าปัญหาที่เราเห็นทุกวันนี้ต้องแก้ไขให้ได้ ทุกคนอยากเห็นประเทศไทยกินดีอยู่ดีมีการใช้จ่ายที่เติบโต ซึ่งอาจหมายถึงโครงสร้างทางการผลิต ทำให้ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยแคบลง
โครงสร้างเศรษฐกิจของไทยในช่วงที่จีดีพี 6 - 10 % มากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา งบประมาณของภาครัฐเป็นแค่ส่วนน้อย เพราะภาครัฐไม่มีหน้าที่ในการลงทุนและส่งออก ต้องทำให้โครงสร้างต่าง ๆ มีความพร้อม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และลดค่าใช้จ่ายให้กับภาคเอกชน โดยในช่วงนั้นการลงทุนทั้งหมดมีประมาณ 40 % บวกลบของจีดีพี การลงทุนของภาคเอกชนสูง ภาครัฐไม่เยอะ
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ในวันนี้การลงทุนทั้งหมดในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในประเทศไทยหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งการลงทุนจากภาคเอกชนหายไป ผู้นำหายไป มองไม่เห็นการส่งออก ไม่เกิดการจ้างงาน ส่วนสินค้าหรือบริการที่เราส่งออกมีคุณค่าน้อย โดยเฉพาะภาคการเกษตร สินค้าบางอย่างในราคา 100 บาท ต้นทุนอาจอยู่ที่ 90 - 100 บาทด้วย ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในการลงทุนภาคเกษตรกรรม โดยเมื่อกางการลงทุนออกมาแล้วนั้น ก็มีงบประมาณที่สนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน
การขาดดุลของเรา เมื่อมองจากภายนอก ขาดดุล 850,000 ล้านบาท ติดกัน 2 ปี หากมองจากมุมมองข้างนอกก็สูง เพราะขาดดุลกว่า 4 % ซึ่งไม่ควรเกิน 3.25 - 3.5% ซึ่งในเงินจำนวนนี้มีการคืนเงินต้นอยู่ด้วย 150,000 ล้านบาท เมื่อหักลบกันแล้วเราก็ขาดดุลอยู่ประมาณ 3% กว่า ซึ่งตนกำลังดูอยู่ว่าในข้างหน้ามีการปรับการขาดดุลทุกปี โดยในปีนี้เรามีงบรายจ่ายประจำ ซึ่งพยายามลดให้ได้ โดยส่วนใหญ่งบประมาณส่วนนี้ผูกพันกับงบข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เรื้อรังมาอย่างยาวนาน หนี้เหล่านี้ รวมหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งสามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ในทางปฏิบัตินำหนี้เหล่านี้มารวมในหนี้สาธารณะทั้งหมด
นายพิชัย กล่าวอีกว่า แม้จะมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปมีการตั้งเป้าจีดีพีให้เกิน 3 % แต่ในวันนี้ก็มีการปรับลงมา แต่ตนก็คาดว่าในปีนี้การเก็บรายได้ของเราน่าจะอยู่ในเป้าหมายได้ เพราะฉะนั้น เงินขาดดุลคงคลังคงมากไปกว่าเดิม ยืนยันว่ามีการปรับหลายอย่างเพื่อเดินไปข้างหน้า
นายพิชัย ระบุว่า การทำงบฯ 69 ทำตามพื้นฐานเดิม และอยากให้ สส. ช่วยกันดูแลงบฯ ให้ละเอียด และสามารถที่จะโยกงบฯ อะไรก็แล้วแต่ เพื่อทำงบฯ ที่อาจจะไม่ตรงประเด็นกับที่เราเคยคิด สามารถมาอยู่ในที่ที่เราสามารถจัดสรรเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้
นายพิชัย ย้ำว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เสนอขึ้นมานี้ในพื้นที่ทั้ง สส. เขต และเจ้าหน้าที่เคยเสนอขึ้นมา โดยส่วนใหญ่มากกว่า 90% อยู่ในส่วนที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ใส่ไว้ในตะกร้าแล้ว ตนมองดูแล้วมีจำนวนถึง 4 ล้านล้านบาท บางโครงการเป็นระยะยาว ระยะปานกลาง ปัญหาคือต้องมีการแก้ระบบน้ำ ระบบไฟ และการขนส่งคมนาคมอย่างถาวร เช่นเดียวกับเรื่องการท่องเที่ยวต้องเปลี่ยนวิธี เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ที่มาท่องเที่ยว ดังนั้นตนเชื่อว่าการเปลี่ยนงบประมาณคงจะต้องนำมาดู แต่ก็ยังเชื่อว่าการทำงบประมาณเหล่านี้จะสนับสนุนให้เอกชนเกิดความรู้สึกที่มีเชื่อมั่น และมั่นใจในการลงทุนวันข้างหน้า
“เชื่อว่างบประมาณนี้เป็นตัวเริ่มต้นจากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป เราคงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ให้โครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาในประเทศมากยิ่งขึ้น และต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ได้จากงบประมาณรัฐ มาตรการการลงทุนผ่านกองทุนของเอกชน โดยเอกชนลงส่วนหนึ่ง และรัฐลงทุนอีกส่วนหนึ่ง” นายพิชัย กล่าว