“สนธิญา” ยื่น อสส. ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำ นายกฯ อิงค์-พีระพันธุ์ ขัด รธน.หรือไม่

“สนธิญา” ยื่น อสส. ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำ นายกฯ อิงค์-พีระพันธุ์ ขัด รธน.หรือไม่

View icon 66
วันที่ 30 พ.ค. 2568 | 15.00 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“สนธิญา” ยื่น อสส. ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำ นายกฯ อิงค์-พีระพันธุ์ ขัด รธน.หรือไม่ กรณีตรวจสอบการถือหุ้นล่าช้า

วันนี้ (30 พ.ค.68) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารเอ นายสนธิญา สวัสดี นักร้องเรียน เดินทางไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งบุคคลที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี และให้อัยการสูงสุดพิจารณาวินิจฉัยส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณากรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อ พ.ร.ป.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฝ่าฝืน จริยธรรมร้ายแรงหรือไม่

นายสนธิญา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนร้องนายกรัฐมนตรีขอให้ตรวจสอบการถือหุ้นของนายพีระพันธุ์ ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์รัฐบาล 1111 โดยตนได้รับจดหมายแจ้งว่าได้ส่งเรื่องร้องเรียนของตนไปถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่หลังจากนั้นผ่านมาเกือบ 30 วันตนก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ อีก จึงมายื่นหนังสือขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาและวินิจฉัยว่า การกระทำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ การแต่งตั้งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้นายกรัฐมนตรีอาจจะไม่กล้าตรวจสอบหรือไม่ เนื่องจากหากตรวจสอบแล้วนายพีระพันธุ์ถือหุ้นจริง หรือนายพีระพันธุ์แก้ไขหุ้นจริง ก็อาจซ้ำรอยกับนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ยังขอให้อัยการสูงสุดตรวจสอบการถือหุ้น 4 บริษัทที่เป็นกรรมการบริหาร หรือเป็นหุ้นส่วนของนายพีระพันธุ์ ที่ผ่านมาตนเรียกร้องให้นายพีระพันธุ์ออกมาชี้แจงประเด็นนี้ตลอด แต่ท่านก็ไม่เคยชี้แจง ผ่านมาไม่กี่วัน ในวันที่ 21 พ.ค 68 กลับมีการแก้ไขชื่อผู้ถือหุ้นและชื่อผู้บริหารบริษัท 4 แห่ง แสดงว่าสิ่งที่ตนร้องเรียนนายพีระพันธุ์ถือหุ้นนั้นเป็นความจริงใช่หรือไม่ จึงมีการแก้ไข ซึ่งการแก้ไขก็ถือว่าเป็นความผิดสมบูรณ์แล้ว

นายสนธิญา กล่าวอีกว่า  ตนยังร้องต่ออัยการสูงสุดกรณีที่นายพีระพันธุ์สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อเมื่อปี 2566 ซึ่งขณะนั้นนายพีระพันธุ์ยังอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สิ่งที่ตามมาคือหลัง กกต.ประกาศว่านายพีระพันธุ์ได้เป็น สส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว นายพีระพันธุ์จึงประกาศลาออกย้อนหลังไปจำนวน 57 วัน การกระทำดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อคำวินิจฉัยใช้ของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2543 หรือไม่ อย่างไร

ประการสุดท้ายการเสนอ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในส่วนของกระทรวงพลังงาน จำนวน 2,888 ล้านบาท นายพีระพันธุ์ไปประเทศจีน ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อที่จะตอบข้อสงสัยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะอนุมัติงบประมาณ ตนจึงขอถามนายพีระพันธุ์ว่าได้แยกแยะความสำคัญออกหรือไม่ว่าเรื่องใดสำคัญมากกว่ากัน ตนได้นำเอกสารหลักฐานทั้งหมดส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญมาตรา 46, 47 และ 48 หากอัยการสูงสุดไม่ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 60 วัน ตนจะใช้สิทธิในการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองต่อไป