“สมชาย” แนะ ไทยไม่ต้องสนใจกัมพูชาไปขึ้นศาล ต้องประกาศ “ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก”

“สมชาย” แนะ ไทยไม่ต้องสนใจกัมพูชาไปขึ้นศาล ต้องประกาศ “ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก”

View icon 133
วันที่ 6 มิ.ย. 2568 | 08.35 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“สมชาย” เปิด 6 ข้อเสนอ แนะไทยไม่ต้องสนใจกัมพูชาไปขึ้นศาล แต่ต้องเร่งปกป้องอธิปไตย ประกาศกลางวงประชุม JBC 14 มิ.ย. ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก

วันนี้ (6 มิ.ย.68) นายสมชาย แสวงการ อดีตสว. แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า “ไทยไม่ต้องสนใจกัมพูชาไปขึ้นศาลโลก แต่ต้องเร่งปกป้องอธิปไตยและแจ้งไม่ยอมรับให้กัมพูชาทราบ พร้อมบันทึกรายงานการประชุม JBC ว่า "ไทยไม่ยินยอมรับเขตอำนาจศาลโลกในกรณีนี้และกรณีใด ๆ" เท่านั้นพอ

ทำผิดจากนี้ มีคดีตามมาแน่นอน !

จากกรณีที่กัมพูชาออกแถลงการณ์ว่า จะฟ้องไทยเพื่อนำคดีพิพาทไปขึ้นศาลโลกนั้น ขอเสนอแนะไปยังผู้เกี่ยวข้องดังนี้

1)รัฐบาลไทยต้องถือเป็นเรื่องของกัมพูชาฝ่ายเดียว ไทยไม่จำเป็นต้องเดินตามเกม ผู้แทนรัฐบาลไทยมีหน้าที่เพียงแค่แจ้งความเห็นแย้ง ไม่ยอมรับศาลโลกในคดีนี้ และรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องดินแดนไทยทุกตารางนิ้ว ให้เกิดความชัดเจน
เพราะตามมาตรา 93 ของกฎบัตรสหประชาชาติที่ระบุให้ สมาชิกสหประชาชาติเป็นสมาชิกของธรรมนูญศาลโลกด้วย
แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศต้องไปขึ้นศาลโลก ตามที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอยากฟ้องได้ตามใจด้วยเหตุ ยังต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสองฝ่ายนำคดีขึ้นสู่ศาลโลก (Consent-based Jurisdiction)  
*ในกรณีนี้รัฐไทยประกาศไม่ยินยอม  ศาลโลกก็ไม่สามารถพิจารณาคดีได้

2)ส่วนการขึ้นศาลโลกตามที่สนธิสัญญาระหว่างประเทศกำหนดนั้น จะมีข้อกำหนดว่า ถ้ามีความขัดแย้งให้นำความขัดแย้งนั้นขึ้นไปสู่ศาลโลกเพื่อตัดสิน ซึ่งถ้าไทยเป็นรัฐภาคีหรือให้สัตยาบันในสนธิสัญญาใดก็ต้องขึ้นศาลโลกแค่เฉพาะคดีที่เกี่ยวกับสนธิสัญญานั้น
*ยกเว้นไทยตั้งข้อสงวนเอาไว้
*หลังกรณีปราสาทพระวิหาร ไทยไม่เคยมีท่าทียอมรับหรือต้องการรับอำนาจของศาลโลกอีกชัดเจนไม่ว่ากรณีใด ๆ และถือปฏิบัติต่อเนื่องมาตลอด

3)มติคณะรัฐมนตรีทุกครั้งหลังคดีเขาพระวิหาร ในการอนุมัติเข้าเป็นรัฐภาคีในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ไทยจะกำหนดตั้งข้อสงวนในการไม่รับอำนาจของศาลโลกทุกครั้งทุกกรณี
อาทิ :ภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการวางระเบิดเพื่อการก่อการร้าย เมื่อ2559 คณะรัฐมนตรีกำหนดให้จัดทำข้อสงวนว่า
*ไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1
ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกัน โดยอนุญาโตตุลาการ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ*
:ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อปี25561 คณะรัฐมนตรีกำหนดให้จัดทำข้อสงวนว่า ไทยจะไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ : ภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (ICPPED) เมื่อ12 มีนาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำข้อสงวนว่า*ไทยจะไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ* ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเดียวกันในการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศทุกฉบับที่ผ่านมา

4)คณะรัฐมนตรีได้วางหลักให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดถึง
กรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น
ให้ทุกหน่วยงานรัฐจัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ

5)การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในวันที่14 มิ.ย.นี้ ผู้แทนรัฐบาลไทยแค่ทำหน้าที่แจ้งในที่ประชุมและบันทึกในรายงานการประชุมว่า "ไทยไม่ยินยอมรับเขตอำนาจศาลในกรณีนี้และกรณีไหน" ทำได้เพียงเท่านี้ 

6)รัฐบาลไทยและผู้แทนต้องไม่กระทำการใดๆที่ยอมรับกรณีที่กัมพูชาฟ้องศาลโลกนี้เด็ดขาด โดยขอให้ทุกท่านอ่านทำความเข้าใจในรัฐธรรมนูญ และ ประมวลกฎหมายอาญาหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 119-129 โดยควรยึดถือปฏิบัติ
ตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด เพราะอาจมีผู้ฟ้องคดีตามมา

รัฐบาลไทยจึงไม่ต้องสนใจแถลงการณ์ดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาที่จะนำเรื่องเขตแดนไปฟ้องศาลโลกใด ๆ อีก และคณะผู้แทนจะต้องแถลงชัดเจนว่า ไทยไม่ยอมรับกัมพูชาในการจะนำคดีไปขึ้นศาลโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง