นายกฯ ย้ำ ผลเจรจาชายแดนไทย-กัมพูชา เรียบร้อยดี งัดเทคนิค จริงใจเจรจา จน กัมพูชา ปรับทัพ

นายกฯ ย้ำ ผลเจรจาชายแดนไทย-กัมพูชา เรียบร้อยดี งัดเทคนิค จริงใจเจรจา จน กัมพูชา ปรับทัพ

View icon 234
วันที่ 10 มิ.ย. 2568 | 14.16 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“นายกฯ” ย้ำ ผลเจรจาชายแดนไทย - กัมพูชา เรียบร้อยดี เผยคุยตรง “ฮุน เซน - ฮุน มาเเนต” เห็นตรงกันยึดสันติวิธี งัดเทคนิค จริงใจเจรจา จน “กัมพูชา” ปรับทัพ  บอกรับทราบ “สนธิ” ยื่นหนังสือจี้รัฐบาลรักษาอธิปไตย ลั่นแก้ทีละปม ไม่เหมารวม MOU 44

(10 มิ.ย.68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายผลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายสถานการณ์ ที่มีความขัดแย้งกัน และปฏิบัติงานร่วมกันหลายภาคส่วน ซึ่งผลออกมาค่อนข้างสงบ เรียบร้อยดี

โดยในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ให้หน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะกองทัพในพื้นที่ ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ตามกรอบความร่วมมือทวิภาคี ได้พูดคุยกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ย้ำว่า ทุกหน่วยงานได้มีการพูดคุยกัน ทั้งไทยและกัมพูชา และตนเองก็ได้พูดคุยกับพลเอก ฮุน มาเเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานองคมนตรี และประธานวุฒิสภากัมพูชา ก็มีการประสานงาน และเจรจากันเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซึ่งผลลัพธ์คือ เราสามารถเจรจากันด้วยสันติวิธี ทำให้ไม่ต้องมีการปะทะที่รุนแรงเกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ในระดับพื้นที่ หน่วยงานความมั่นคง และกองทัพ ได้ประสานกับผู้นำเหล่าทัพของกัมพูชาหลายครั้ง เพื่อพูดคุยเจรจา บริเวณชายแดน ซึ่งแต่ละหน่วยก็มีความคุ้นเคยกันเพราะฉะนั้นการพูดคุยก็เป็นไปด้วยดี และสมเด็จฯฮุน เซน ก็ได้ประสานงานส่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ และพลเอกญึก บุญชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความร่วมมือในการแก้ไข และมาดูบริเวณที่มีการพิพาทกัน โดยได้มาดูเอง และรายงานสมเด็จฯฮุน เซน ซึ่งก็เข้าใจตรงกันมากขึ้น อีกทั้งได้มีการปรับกำลังพลในพื้นที่พิพาท ให้อยู่ในสถานการณ์ปกติ ในบริเวณที่มีการพิพาท ส่วนพื้นที่อื่น ยังมีกำลังพลตามเดิม

ด้านกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำ เรื่องการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมหรือ JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ได้มีการยืนยันทุกระดับมายังกระทรวงการต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ โดยยืนยันว่า จะมีการประชุมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนที่กัมพูชามีความประสงค์จะส่งเรื่องไปยังเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก รัฐบาลไทยยืนยันไม่รับเขตอำนาจศาลโลก โดยที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการผ่านวิธีทางการทูต ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ดี เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล ผลลัพธ์ที่ออกมาดีมาโดยตลอด และเรื่องนี้ในบางครั้งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนได้ เพราะเป็นการเคารพการพูดคุยเรื่องข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศ

ขณะที่เรื่องมาตรการระหว่างชายแดนทั้ง 2 ประเทศ ได้มีการกำชับให้เปิด-ปิดด่านตามกรอบระยะเวลา ไม่ได้มีการปิดถาวรตามที่มีข่าวออกมา เพราะทราบดีว่ามีการค้าขายระหว่างประเทศ  หากปิดก็จะมีผลกระทบกับประชาชน ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการรัดกุมเรื่องเวลาเปิด-ปิด

นายกรัฐมนตรี ยังขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเจรจาครั้งนี้ และขอความร่วมมือจากสื่อมวลชน ในการสื่อข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่สร้างความแตกแยกกันเองภายในประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นคง และความมั่นใจแก่ประชาชนว่า เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยสันติวิธี  และรัฐบาลขอยืนยันอีกครั้งว่าการเจรจาทั้งหมดนี้ ผ่านไปด้วยดี  และขอเน้นย้ำว่า จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างแน่นอน

ส่วนจะมั่นใจกับท่าทีกัมพูชาได้อย่างไร เพราะล่าสุดได้มีแถลงการณ์ ที่จะมีการปรับกำลัง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราสื่อสารเรื่องนี้กันหลายส่วน เช่น ไม่อยากใช้คำว่าถอยทั้งสองฝ่าย แต่เป็นการปรับกำลัง เป็นการให้เกียรติทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ เฉพาะกัมพูชา ซึ่งของไทยก็ปรับกำลังเช่นกัน ขณะเดียวกันเราก็พร้อมรับมือเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปะทะแบบไหนเราต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน

ขณะที่มูลนิธิเฝ้าแผ่นดิน นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ยื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลรักษาอธิปไตยตรงนี้ได้เห็นหนังสือแล้วหรือยังนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รับทราบแล้วแต่ ยังไม่ได้เห็นหนังสือ รัฐบาลรับฟังทุกความคิดเห็น

ส่วนข้อเรียกร้องให้ยกเลิก MOU43 และ MOU 44  นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลขอพิจารณาเป็นเรื่องต่อเรื่องไป เหมือนที่ยืนยันกับทางกัมพูชา ขอโฟกัสที่เรื่องข้อพิพาทตรงนี้ ไม่ใช่เอาทุกเรื่องมาปนกันหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่ชัดเจนในแต่ละหัวข้อ แต่แน่นอน เรื่องที่ยังมีปัญหาหรือยังไม่จบ ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายบริหารต้องพิจารณาดูแลในรายละเอียดอยู่แล้ว

ส่วนสิ่งที่นายกรัฐมนตรีไปคุย กับนายฮุนมาเน็ตและ สมเด็จฮุนเซน มีไม้เด็ดอะไรไปคุยต่อรอง ถึงได้ยอมปรับกำลัง นายกรัฐมนตรี ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า คุยตามความจริงใจว่า เรามีความจริงใจและไม่ต้องการเห็นคนทั้ง 2 ประเทศมีปัญหากัน ต้องการความสงบ และไปเร่งเครื่องเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า เพราะไม่อยากให้มาเป็นสนามรบ