สำนักข่าวฟ็อกซ์ของสหรัฐฯ รายงานข่าว สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 Bomber จำนวน 6 ลำ ทิ้งระเบิดใส่ฐานโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่าน รวมทั้งยังยิงขีปนาวุธ "โทมาฮอว์ก" โจมตี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งบอกว่าจะให้เวลาทั้ง 2 ฝ่าย เจรจาข้อตกลงหยุดยิงภายใน 2 สัปดาห์
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เหตุที่ตัดสินใจโจมตีอิหร่านครั้งนี้ว่า เป้าหมายของเราคือ การทำลายความสามารถในการเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ของอิหร่าน และหยุดยั้งภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ที่เกิดจากรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก จะต้องมีสันติภาพเกิดขึ้น หรือไม่ก็ต้องเกิดโศกนาฏกรรมกับประเทศอิหร่าน
หลังจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังโพสต์ขู่อิหร่านอีกด้วยว่า หากอิหร่านตอบโต้การโจมตีของสหรัฐฯ จะต้องเจอกับการใช้แสนยานุภาพทางทหารที่หนักหน่วงกว่าการโจมตีวานนี้ (21 มิ.ย.)
ด้าน นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ซึ่งรอให้สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดเจาะฐานนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่านมานาน เพราะทำเองไม่ได้ รีบออกมาแถลงยกย่องประธานาธิบดีทรัมป์ทันทีว่า กล้าหาญและจะถูกจารึกชื่อในฐานะผู้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์
แต่ที่แปลกกว่านั้น ช่างบังเอิญมาก รัฐบาลปากีสถาน ระบุว่า จะเสนอชื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ลุ้นรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปีนี้ จากการช่วยผลักดันให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงกับอินเดีย
ขณะเดียวกันต้องจับตาอิหร่านว่าจะตอบโต้อย่างไร ในทางเปิดรัฐบาลอิหร่านส่งเรื่องร้องเรียนไปยังสหประชาชาติขอให้คณะมนตรีความมั่นคงเรียกประชุมด่วน เพื่อลงโทษสหรัฐฯ ฐานกระทำผิดกฎบัตรสหประชาชาติ
ส่วนนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งนักการเมืองสหรัฐฯ เองส่วนหนึ่ง ก็คัดค้านและเตือนว่า การที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ สั่งโจมตีอิหร่าน เหมือนการชักศึกเข้าบ้าน เพราะเท่ากับเป็นการเปิดทางให้อิหร่านเอาคืนสหรัฐฯ ได้ ทั้งบนดินและใต้ดิน จากนี้ต้องเฝ้าระวังกันชนิดห้ามกระพริบตา