เช้านี้ที่หมอชิต - ยิ่งฟัง ยิ่งสงสัย คดีเงิน 10 ล้าน หายไปพร้อมทองคำหนัก 250 บาท จากกุฏิเจ้าอาวาสวัดม่วง หายไปลึกลับแต่กลับไม่อยากแจ้งความ เพียงเพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงที่สะสมมา
ถ้ามองถึงชื่อเสียงที่สะสมมากว่า 40 ปี ก็ถูกตามที่เจ้าอาวาสฯ บอก แต่อีกมุมก็เป็นเงินที่ชาวบ้านทำบุญ แม้เจ้าอาวาสฯ จะอ้างว่าไม่ใช่เงินวัด แต่ก็ต้องรอการพิสูจน์จากตำรวจ บก.ปปป.
และที่น่าสงสัย คือ หลังจาก เจ้าอาวาส พาเด็กวัด 2 คน ไปเบิกเงินจากธนาคาร ก็นำมาวางใต้โต๊ะในกุฏิเจ้าอาวาสฯ แล้วนำผ้ามาคลุมปิดไว้
แต่เงิน 10 ล้านบาท และทองคำ 250 บาท ก็หายไป ทั้งที่เจ้าอาวาสฯ รู้ที่ซ่อนเพียงคนเดียว
กุฏิเจ้าอาวาสก็มีประตูถึงชั้น 5 รอบ วัดมีวงจรปิดทั้งหมด 11 ตัว โดยเฉพาะกุฏิเจ้าอาวาส มีวงจรปิด 3 ตัว ถึงแม้ เจ้าอาวาสฯ จะนำกระดาษไปปิดไว้ เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว แต่หากมีคนขโมยจริง ต้องพบร่องรอยงัดแงะ และวงจรปิดจุดอื่น ๆ ต้องบันทึกภาพได้
ที่น่าตกใจ คือ หลายเดือนก่อน (ไม่บอกแน่ชัด) เจ้าอาวาส เคยเบิกเงินสดมา 10 ล้านบาท และทองคำหนัก 300 บาท ปรากฏว่าทองคำหายไป 50 บาท เจ้าอาวาสบอกไม่รู้ใครเอาไป จึงไม่แจ้งความ
จนครั้งนี้ก็ไม่อยากแจ้งความเช่นกัน แต่ดันเป็นข่าวดัง ตำรวจบอกไม่แจ้งไม่ได้
แถม พระนิทัศน์ อดีตคนสนิทเจ้าอาวาส ยังเปิดหน้าแฉ เรื่องนี้ เจ้าอาวาส บอกว่า เป็นเรื่องใส่ร้าย เหตุเพราะอาตมาเคยตัดชื่อเขาออกจากวัด เพราะทำเรื่องเสื่อมเสีย แต่พ่อของเขา เป็นคนในพื้นที่ ขอร้องเอาไว้ และความดีที่มีมาเก่าก่อน จึงไม่เอาความ
พระนิทัศน์ จึงสวนกลับ ก่อนเคยสนิทกันนาน 5 ปี กระทั่งทราบว่า เจ้าอาวาส มีส่วนเกี่ยวข้องคดี "พระพุทธรูปโบราณ" หายไปจากกุฏิเจ้าอาวาส ก่อนทราบว่าถูกนำไปใช้ซื้อขายตำแหน่งทางคณะสงฆ์ จึงหมดความศรัทธา
พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บอกว่า อยากให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอาวาสฯ จึงอยากสอบถามข้อเท็จจริงกับเจ้าอาวาสฯ โดยตรง
หลังจากนี้คาดว่า "บิ๊กเต่า" พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ จะเชิญ เจ้าอาวาสวัดม่วง เข้าสอบปากคำ ส่วน พระนิทัศน์ ก็บอกว่าเร็ว ๆ นี้จะไปหา "บิ๊กเต่า" ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ปากคำเช่นกัน