วันนี้ (8 ก.ค. 68) นายโชคไชย สว่างรัตน์ นายอำเภอนางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้มอบหมายให้ นายอัมรินทร์ ทิพย์อักษร ปลัดอำเภอนางรอง และ นายอัษฎาวุธ เกตุผักแว่น กำนันตำบลชุมแสง และผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านใน ต.ชุมแสง อ.นางรอง ว่ามีพระรูปหนึ่งประพฤติตัวไม่เหมาะสม มีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวป่วยออทิสติกจนตั้งครรภ์ และคลอดลูกได้ประมาณ 2 เดือน โดยมีการเจรจาตกลงชดใช้เงินกัน แต่ไม่มีการดำเนินการเอาผิดทางวินัยสงฆ์ จากนั้นพระรูปที่ก่อเหตุก็ย้ายไปอยู่วัดอื่น ทำให้ชาวบ้านเกิดความไม่สบายใจ เพราะเกรงจะเสื่อมเสียพระพุทธศาสนา จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการกระทำผิดก็ควรจะลงโทษตามวินัยสงฆ์ ไม่ใช่แค่ย้ายไปอยู่วัดอื่นแล้วเรื่องก็จบ
จากการตรวจสอบที่วัดเสลา ต.ชุมแสง ก็พบพระรูปที่ถูกร้องเรียนอยู่ในวัด จึงได้สอบถาม โดยพระรูปดังกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำตามที่ถูกร้องเรียนกล่าวหา แต่สาเหตุที่ย้ายมาอยู่วัดแห่งนี้ เพราะญาติของหญิงป่วยออทิสติกและชาวบ้านมากดดัน ว่าต้องจ่ายค่าเสียหาย 50,000 บาท ถ้าไม่ยอมจะเอานักข่าว และกันจอมพลังมา ซึ่งตอนนั้นอาตมาตกใจและกลัว จึงจำเป็นต้องหาเงินไปจ่ายให้กับครอบครัวของหญิงป่วยออทิสติก เพราะอยากให้จบเรื่อง ไม่อยากมีปัญหา โดยครั้งแรกจ่ายไป 10,000 บาท และไปหามาจ่ายเพิ่มอีก 40,000 บาท เมื่อช่วงเดือน มี.ค. 68 ที่ผ่านมา
จากนั้นอาตมาก็ย้ายจากวัดบ้านลุงปลาดุก ออกมาอยู่ที่วัดบ้านเสลา ยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผู้หญิงออทิสติก แต่ถามว่าเคยถูกเนื้อต้องตัวหญิงคนดังกล่าวหรือไม่ ก็เคย เพราะหญิงออทิสติกเคยมาล้างจานที่วัดแล้วเกิดลมชัก อาตมาเห็นก็เลยต้องช่วยเหลือเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้กระทำอย่างอื่นตามที่ถูกกล่าวหาเลย พร้อมตรวจดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ด้านป้าของหญิงป่วยออทิสติก บอกว่า ช่วงที่พระรูปดังกล่าวอยู่วัดบ้านลุงปลาดุก หลานสาวที่ป่วยออทิสติกได้ไปล้างจานที่วัดเป็นประจำ กระทั่งหลานสาวมาเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมของพระรูปดังกล่าว ว่าชอบจับก้น และล่วงละเมิดทางเพศหลานหลายครั้ง เวลามีอะไรก็จะให้เงินครั้งละ 100 – 200 บาท ตนจึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งตอนนั้นพระรูปดังกล่าวก็ยอมรับว่าทำจริง จึงมีการตกลงจ่ายเงินชดใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้น 50,000 บาท ทางครอบครัวก็ไม่อยากให้มีเรื่องมีราวใหญ่โต และไม่อยากให้เด็กมีปม จึงยอมรับเงิน 50,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กที่คลอดออกมา และสงสารทั้งหลานทั้งเด็กก็เลยให้จบเรื่องไป จึงไม่ได้เอาเรื่องหรือแจ้งความกับพระ แต่ส่วนเรื่องวินัยสงฆ์ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการ ซึ่งครอบครัวไม่ขอยุ่งเกี่ยวแล้ว แค่นี้ก็เสียใจมากแล้ว
ขณะที่ นายอัษฎาวุธ เปิดเผยว่า วันนี้ได้เข้ามาตรวจสอบในเบื้องต้น ก็ยังไม่พบข้อเท็จจริง ยังไม่รู้ว่าใครพูดจริงและพูดไม่จริง อย่างไรก็ตามต้องตรวจสอบในหลายมิติอีกครั้ง ซึ่งจะต้องมีหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมกันตรวจสอบ การเข้ามาพูดคุยในวันนี้พระก็ยังไม่ยอมรับว่าทำจริง ก็ต้องดูว่าเด็กคลอดออกมาแล้วจะทำอย่างไรต่อไป อาจจะจบในเรื่องของการไม่เอาความ แต่ในเรื่องของวินัยสงฆ์ ก็จะต้องสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะต้องมีการเข้ามาตรวจสอบกันอีกครั้งจนกว่าจะชัดเจน โดยอาจจะต้องตรวจสอบดีเอ็นเอ เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย
