ตำรวจแม่ปิง รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดเงินคืนได้ 2.6 ล้าน สารภาพบอสบัญชาการจากกัมพูชา ให้คุมม้ากดเงินเหยื่อ พบประวัติก่อเหตุที่เชียงใหม่-พัทยา มีผู้แจ้งความแล้ว 7 ราย
วันนี้ (18 ก..68) พล.ต.ต. ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมกับชุดสืบสวน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ แถลงผลจับกุมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีพฤติกรรมหลอกลวงประชาชน และใช้บัญชีธนาคารผู้อื่นในการรับโอนและถอนเงิน จำนวน 3 ราย ได้แก่ น.ส.อนุกุล จับได้ที่หน้าสถานีตำรวจภูธรแม่ปิง, นายเหมิน ซิน สัญชาติจีน จับได้ที่โรงแรมย่านพระสิงห์ และนายจาง เหมา หนิง สัญชาติจีน จับได้ที่โรงแรมในจังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา
การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุชายชาวจีนสองคนมีพฤติกรรมข่มขู่หญิงไทยบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โดยหญิงรายนี้ถูกจ้างให้เปิดบัญชีธนาคารรับโอนเงินและถอนเงินตามคำสั่ง แต่เกิดข้อโต้แย้งเรื่องการแบ่งค่าจ้าง จากการตรวจค้นพบเงินสดกว่า 2,680,000 บาท อยู่ในความครอบครอง และบัญชีดังกล่าวถูกใช้ในการหลอกลวงประชาชน จนถึงขณะนี้มีผู้เสียหายแจ้งความไว้แล้ว 7 ราย ความเสียหายรวมกว่า 2 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน และยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะสามารถจับกุมได้ในวันเดียวกัน
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาจีนรายหนึ่งรับสารภาพว่า เดินทางจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทยตามคำสั่งของหัวหน้าขบวนการ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการกดเงินสด โดยมีการนัดหมายกับหญิงสาวเจ้าของบัญชีล่วงหน้า ให้นั่งรอหน้าธนาคารในช่วงเวลาที่มีผู้หลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชี จากนั้นจะพากันตระเวนถอนเงินสดตามสาขาต่างๆ แล้วส่งต่อให้ชาวจีนอีกทอดหนึ่ง ก่อนจะนำเงินไปฝากเข้าธนาคารอื่น เป็นลักษณะการทำงานซ้ำ ๆ ทุกวัน ขบวนการนี้เคยก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และพัทยา โดยตำรวจสืบสวนภาค 2 ได้ร่วมติดตามความเคลื่อนไหวเช่นกัน
จากประวัติพบว่าผู้ต้องหาชาวจีนรายนี้เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 เม.ย.67 มุ่งหน้าไปที่พัทยา และกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่ได้ประมาณ 10 กว่าวัน ส่วนหญิงชาวไทย เจ้าของบัญชีม้า ยอมรับว่าเพิ่งทำเป็นครั้งแรก โดยการชักชวนจากเพื่อนให้เข้ากลุ่ม ได้รับค่าตอบแทน 10,000 บาท และใช้บัญชีส่วนตัวเดิม ไม่ได้เปิดบัญชีใหม่ ได้รับ แต่ได้สิทธิ์ในการใช้บัญชี แต่ต้องถอนเงินให้กลุ่ม ขณะที่โทษความผิดเทียบเท่ากับผู้ต้องหาชาวจีน เนื่องจากในหนึ่งวันมีผู้เสียหาย 5 ราย โอนเงินรวมกว่า 6 ล้านบาทผ่านบัญชีดังกล่าว ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษสูงสุดถึง 30 ปี
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวอีกว่า ขบวนการหลอกลวงลักษณะนี้มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ผู้หลอกลวง, บัญชีม้า และผู้เสียหาย หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็จะไม่สามารถดำเนินการได้ และในกรณีนี้ตำรวจไม่สามารถติดตามเส้นทางเงินได้ เพราะมีการถอนเงินสดออกและโอนไปยังเครือข่ายอื่นอย่างรวดเร็ว ทำให้ยากต่อการติดตามกลับคืน จึงขอฝากเตือนประชาชนให้มีสติ อย่าหลงเชื่อการชักชวนโอนเงินในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนออนไลน์ การซื้อสินค้า หรือแม้แต่การหลอกให้รัก เพราะเบื้องหลังอาจเป็นองค์กรอาชญากรข้ามชาติที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน