เรียกทูตกลับ-สั่งปิดด่านตอบโต้กัมพูชา

View icon 325
วันที่ 24 ก.ค. 2568 | 06.09 น.
เช้านี้ที่หมอชิต
แชร์
เช้านี้ที่หมอชิต - รัฐบาลไทยลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา โดยการเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับ และส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชากลับประเทศ

เรียกทูตกลับ-สั่งปิดด่านตอบโต้กัมพูชา
เช่นเดียวกับกองทัพภาคที่ 2 ได้ยกระดับตอบโต้ทั้งการปิดด่านชายแดน 4 จุด และการปิดปราสาทแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่

หลังจากเกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสขาขวาขาด 1 นายที่บริเวณช่องอานม้า นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกฯ เปิดเผยว่าทางการไทยตัดสินใจตอบโต้ทางการกัมพูชาด้วยการลดระดับความสัมพันธ์

โดยรัฐบาลไทยได้เรียกนายตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศไทย และส่ง ฮุน ซาเรือน เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย กลับไปยังกัมพูชา และหลังจากนี้จะมีการพิจารณาทบทวนความสัมพันธ์ต่อไป

เรียกได้ว่าเป็นท่าทีล่าสุดของทางการไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ก่อน (16 ก.ค.) ได้เกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่บริเวณช่องบกที่จังหวัดอุบลราชธานี

และทางการไทยประณามกัมพูชาว่า ละเมิด "อนุสัญญาออตตาวา" ที่ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เนื่องจากเป็นทุ่นระเบิดใหม่ และไทยไม่มีทุ่นระเบิดชนิดนี้

และก็มีความเคลื่อนไหวทันทีจาก "ฮุน ซาเรือน" เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยที่ถูกส่งกลับ โดยได้โพสต์ข้อความว่า "หลังจากที่ผมกลับแล้ว หวังว่าท่านและพวกยังอยู่นะครับ บริหารประเทศใช้อารมณ์เช่นนี้ ไม่รู้ได้กี่น้ำ" 

ซึ่งถือเป็นท่าทีที่ดุเดือดจาก "ฮุน ซาเรือน" ซึ่งทราบกันดีกว่าเป็นหลานชายของ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา และใช้ภาษาไทยได้ดี เพราะเรียนจบที่เมืองไทย

ส่วนท่าทีของกองทัพภาคที่ 2 ล่าสุด พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงนามในหนังสือคำสั่งกองทัพภาคที่ 2 เรื่องการปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่รับผิดชอบ

หลังจากเกิดเหตุลอบวางทุ่นระเบิด 2 เหตุการณ์ โดยสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่ไร้มนุษยธรรม และละเมิดอธิปไตย ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา

โดยได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา  ซึ่งในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 มีทั้งหมด 4 จุด ประกอบด้วย ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี, ช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีะเกษ, ช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์, ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์

โดยมีคำสั่งให้งดการผ่านเข้า - ออกของยานพาหนะทุกประเภท และงดการเดินทางผ่านเข้า - ออกของประชาชน, การค้าขายทุกประเภท, นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (24 ก.ค.)

นอกจากนี้ในคำสั่งของแม่ทัพภาคที่ 2 ยังงดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปการเยี่ยมชม "ปราสาทตาเมือน" และ "ปราสาทตาควาย" โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปรับปรุงระบบการรักษาความปลอดภัย

ขยายความเรื่องคำสั่งปิดให้เข้าไปเที่ยวปราสาทสักเล็กน้อย ในทีแรกช่วงเย็นหลังเกิดเหตุทหารเหยียบทุ่นระเบิด มีข่าวว่ากองทัพภาคที่ 2 สั่งปิด "ปราสาทตาเมือนธม" และ "ปราสาทตาควาย" แต่พอมีหนังสือคำสั่งออกมาพบว่ามีการแจ้งปิด "ปราสาทตาเมือน"

ซึ่งตีความได้ว่าเป็นการปิดการท่องเที่ยว "กลุ่มปราสาทตาเมือน" ทั้ง 3 ปราสาท คือ ตาเมือน, ตาเมือนโต๊ด และ ตาเมือนธม เมื่อรวมกับการปิด "ปราสาทตาควาย" ก็เท่ากับ 4 ปราสาท

ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทยอดนิยม ใหญ่ที่สุดใน 3 ปราสาท และลึกติดชิดชายแดนมากสุด และหากปิดปราสาทตาเมือน ก็เท่ากับปิดทางขึ้นไปที่ตาเมือนธม กับ ตาเมือนโต๊ด

นอกจากนี้กองทัพบกยังได้มีการออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงต่อการกระทำอันไร้มนุษยธรรม พร้อมเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยถือเป็นการกระทำที่เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อสันติภาพ และเสถียรภาพบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ (24 ก.ค.) พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก จะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์  และให้กำลังใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมกับสั่งการให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกำลังพลส่วนต่าง ๆ เตรียมพร้อมปฏิบัติการตาม "แผนจักรพงษ์ภูวนาถ"

กัมพูชาโต้ไทยกล่าวหาปมวางทุ่นระเบิด
ส่วนท่าทีของทางการกัมพูชา เวลาประมาณ 22.30 น. พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยที่อ้างว่ากัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

และแสดงความผิดหวังที่ไม่มีการรับผิดชอบต่อเหตุการณ์รุกล้ำดินแดนกัมพูชา โดยอ้างว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่บริเวณอำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหารของกัมพูชา พร้อมกับบอกว่าบริเวณดังกล่าวยังเต็มไปด้วยทุ่นระเบิดจากสงครามจำนวนมาก