รัฐบาล เร่งปรับปรุงกฎหมายจัดการ “พระสงฆ์” ทำผิด พบเสพเมถุนต้องสึกทันที ผลักดันเพิ่มโทษ “จำคุก-ปรับ”
วันนี้ (6 สิงหาคม 2568) นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า รัฐบาลเร่งแก้ปัญหากรณีพระสงฆ์กระทำผิด โดยปัจจุบันเหตุแห่งความผิดมี 4 ประเภทหลัก ได้แก่ การลักทรัพย์ ฆ่าสัตว์ เสพเมถุน และการอวดอุตริ ซึ่งหากผิดวินัยสงฆ์ จะเข้าข่ายอาบัติปาราชิกและต้องสึก แต่ในด้านกฎหมายของรัฐยังไม่มีบทลงโทษในบางกรณี เช่น เสพเมถุน และอวดอุตริ จึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้มีโทษทางอาญา เช่น การจำคุกหรือปรับ เพื่อให้สอดคล้องกับความวิตกกังวลของสังคมและวิกฤตศรัทธา จึงวางแนวทางการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ แบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่
1.การแก้ปัญหาต้นเหตุ เช่น การมั่วสีกา ซึ่งอาจมีมูลเหตุจากความประสงค์ต่อทรัพย์ด้วย จึงควรมีการตรวจสอบรายรับรายจ่ายของวัดและพระอย่างรัดกุม
2.การออกกฎหมายและข้อกำหนด โดยขณะนี้ได้ประสานให้มหาเถรสมาคมออกกฎระเบียบเพิ่มเติม อาทิ การห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท หากเกินต้องนำฝากธนาคาร และต้องรายงานรายรับรายจ่ายต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทุกเดือน โดยสรุปรายงานปีละ 1 ครั้ง
3.การป้องปราม โดยจะประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยในการกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ร่วมสอดส่องดูแลพฤติกรรมของพระสงฆ์ในชุมชน ผ่านเครือข่ายผู้นำหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังเตรียมเสนอให้แก้ไขบทลงโทษเกี่ยวกับพระปลอม ที่เข้ามาแอบอ้างบวชเป็นพระสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันบทลงโทษยังเบาอยู่ โดยจะปรับให้มีโทษปรับและโทษจำคุกที่ชัดเจนและเข้มงวดมากขึ้น โดยจะอยู่ภายใต้การหารือร่วมกับมหาเถรสมาคม
สำหรับความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่เหมาะสมหรือกระทำผิดกฎหมาย ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) โดยศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา ได้เปิดปฏิบัติการ “กวาดลานวัด” เข้าตรวจค้นเป้าหมายกว่า 200 จุดทั่วประเทศ เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่าง ๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่แฝงตัวบวชเป็นพระ
โดยกลุ่มเป้าหมายหลักมีจำนวน 181 ราย แบ่งเป็นผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีระดับเจ้าอาวาสรวมอยู่ด้วย และผู้ต้องหาที่สึกแล้วอีก 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการจับกุม และดำเนินการตรวจค้นจุดเป้าหมายอื่น ๆ ต่อเนื่อง