ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 พิพากษาแก้ เพิ่มโทษจำคุก “ลุงพล” 26 ปี คดีน้องชมพู่ ชี้ ฆ่าโดยเจตนา-อำพรางศพ ยกฟ้องป้าแต๋น “รณณรงค์” เผย คดียังไม่ถึงที่สุด มีสิทธิฎีกา
วันนี้ (13 ส.ค.68) เพจรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ได้โพสต์ความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตน้องชมพู่ ระบุว่า ด่วน! ศาลอุทธรณ์พิพากษา “ลุงพล” จำคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่พลิกจากประมาทเป็นฆ่าโดยเจตนา
นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ในช่องแสดงความคิดเห็น ระบุว่า ผมติดตามข่าวการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 จากศาลจังหวัดมุกดาหาร ในคดีที่คนทั้งประเทศรู้จักกันดี คดีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ จากหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เหตุเกิดตั้งแต่ 11 พ.ค.63 น้องหายออกจากบ้าน ก่อนจะพบเสียชีวิตอยู่บนภูเหล็กไฟในสภาพที่เป็นปริศนามานานหลายปี คดีนี้เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ สื่อทุกสำนักเกาะติด สังคมวิพากษ์กันไม่หยุด
คำพิพากษาศาลชั้นต้น 20 ธ.ค.66 ศาลจังหวัดมุกดาหารตัดสินว่า นายไชย์พล วิภา (ลุงพล) มีความผิดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (มาตรา 291) และ พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยไม่มีเหตุอันสมควร (มาตรา 317 วรรคแรก) ลงโทษจำคุก กระทงละ 10 ปี รวม 20 ปี ให้ชดใช้ค่าสินไหมแก่ครอบครัวผู้ตาย และยกฟ้องนางสมพร หลาบโพธิ์ (ป้าแต๋น) พูดง่าย ๆ คือ ศาลชั้นต้นมองว่าเป็นการกระทำที่ “ประมาท” ไม่ใช่เจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 พลิกคำตัดสิน โดยแก้โทษลุงพลเป็น ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล (มาตรา 288), พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร (มาตรา 317 วรรคแรก) และอำพรางซ่อนเร้นศพ (มาตรา 199) รวมโทษ จำคุก 26 ปี ส่วนป้าแต๋น ยกฟ้องเหมือนเดิม
ประเด็นสำคัญจาก “ประมาท” เป็น “ฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล” ตรงนี้คือหัวใจของคดี ศาลอุทธรณ์มองว่าการกระทำของลุงพลไม่ใช่แค่ขาดความระมัดระวัง แต่เป็นการยอมรับความเสี่ยงที่รู้ว่าผลจะทำให้ถึงแก่ความตาย เช่น การพาเด็กไปในพื้นที่อันตรายโดยไม่มีการป้องกัน และปล่อยให้เกิดเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิต
มาตรา 288 บัญญัติชัดว่า โทษของการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาคือ จำคุก 15–20 ปี, จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต แตกต่างจากมาตรา 291 ที่เป็นเพียงโทษประมาท
ข้อหาใหม่ อำพรางศพ ศาลอุทธรณ์ยังเพิ่มข้อหา “อำพรางซ่อนเร้นศพ” ตามมาตรา 199 เพราะหลังเกิดเหตุ มีการกระทำที่เข้าข่ายทำลาย หรือปิดบังพยานหลักฐาน เพื่อไม่ให้ตรวจหาสาเหตุการตายได้โดยง่าย
เหตุผลที่ป้าแต๋นยังยกฟ้อง แม้จะถูกตั้งข้อหา แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าป้าแต๋นมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ จึงยกฟ้องเช่นเดิม
ผลทางคดีและสิทธิของจำเลย คำพิพากษานี้ ยังไม่ถึงที่สุด ลุงพลสามารถยื่นฎีกาได้ แต่การขอประกันระหว่างฎีกา ศาลจะพิจารณาจากพฤติการณ์ ความร้ายแรงของข้อหา และโทษจำคุกที่สูงขึ้น และหากฎีกาไม่เปลี่ยนแปลง ลุงพลจะต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์