ห้องข่าวภาคเที่ยง - กลายเป็นกระแสในโลกโซเชียลฯ หลังอดีตรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ออกมาโพสต์ว่า จะรับซื้อทุ่นระเบิดจากทหารกัมพูชา เพื่อลดความสูญเสียให้กับทหารไทย ที่เดินเท้าลาดตระเวนในผืนแผ่นดินไทย
นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประกาศรับซื้อทุ่นระเบิดกัมพูชา เพื่อแสดงความรักชาติ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รับซื้อทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 จากทหารกัมพูชา ในราคาลูกละ 10,000 บาท
ทีมข่าว สอบถามไปยัง นายปลอดประสพ ถึงวัตถุประสงค์การโพสต์ครั้งนี้ เจ้าตัวเผยว่า ถ้าจำนวนทุ่นระเบิดลดลงไป ทหารเราจะปลอดภัยมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาชี้ชัดแล้วว่า ทหารกัมพูชาเป็นผู้ลักลอบวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ประเทศไทย ย่อมรู้ดีว่าจุดไหนเป็นพื้นที่เสี่ยง แต่ทหารไทยไม่มีทางรู้เลย ทั้ง ๆ ที่เราเดินลาดตระเวนในเส้นทางเดิม
การประกาศออกไปแบบนี้ หวังสื่อสารไปยังชาวกัมพูชา ให้รับรู้ว่า คนไทยรังเกียจ และไม่ยอมรับการใช้ทุ่นระเบิด ตนยินดีจ่ายเงินส่วนตัวเพื่อซื้อมา กัมพูชาวางทุ่นระเบิดเพื่อฆ่าคน แต่ผมซื้อเพื่อรักษาชีวิตคน
ยอมรับว่า หลังโพสต์ออกไป มีคนเข้ามาติง ว่าอาจไม่เหมาะสม แต่ใจจริงต้องการให้กัมพูชาหยุดละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ยั่วยุ รวมไปถึงหยุดละเมิดข้อตกลงอนุสัญญาออตตาวาด้วย ส่วนกรณีที่ แม่ทัพภาคที่ 2 ให้แนวทางในการนำเครื่องจักรขนาดใหญ่ ใช้แทนการเดินลาดตระเวน อดีตรองนายกรัฐมนตรี มองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่การเดินเท้าลาดตระเวนยังมีความจำเป็นในบางพื้นที่ จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อลดความเสี่ยงให้กับทหารที่อยู่แนวหน้า
หลายคนก็สงสัย ว่าแล้วแบบนี้ จะทำการซื้อขายระเบิดกันได้จริงหรือไม่ อนุสัญญาออตตาวาฉบับนี้ เน้นย้ำ ห้ามรัฐภาคี ใช้ผลิตสะสมและโอนทุ่น ระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิด แต่ไม่ได้ห้ามการซื้อขายทุ่นระเบิดโดยตรง
ฉะนั้นแม้จะไม่มีกลไกการลงโทษโดยตรงสำหรับการไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา แต่การละเมิดข้อกำหนด อาจนำไปสู่แรงกดดันจากประชาคมโลกและผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
แต่กฎหมายอาญาบ้านเรา ระบุชัดว่า การซื้อขายวัตถุระเบิดเป็นเรื่องผิดกฎหมายและมีโทษทางอาญาตามกฎหมายไทย พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 กำหนดไว้ว่า การทำ ซื้อ มี ใช้ สั่ง นำเข้า ค้า หรือจำหน่ายวัตถุระเบิด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ มีความผิด ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 1-20 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
