สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ดังนี้

View icon 339
วันที่ 15 ส.ค. 2568 | 20.01 น.
ข่าวในพระราชสำนัก
แชร์
เวลา 08.59 น. วันนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังการไฟฟ้านครหลวง ทรงเปิดพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย MEA SPARK ซึ่งเดิมเคยเป็นสำนักงานใหญ่แห่งแรกของการไฟฟ้านครหลวง และเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าแห่งแรกของประเทศ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2459 นับเป็นโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์การไฟฟ้าไทย ที่มีอายุ 109 ปี

พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย MEA SPARK สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าเพื่อวิถีชีวิตมหานคร ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ภายใต้ภารกิจ Back to the Future Journey ย้อนรอยประวัติศาสตร์ไฟฟ้าไทยสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะในอนาคต จุดประกายให้เกิดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย เสริมคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สังคม และประเทศชาติ และต่อยอดสู่การพัฒนาความรู้เพื่ออนาคตของประเทศ การจัดแสดงแบ่งออกเป็น 3 ชั้น เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์กิจการไฟฟ้าไทย การออกแบบจัดแสดงใช้เทคนิคที่หลากหลาย ทั้งวัตถุ ศิลปกรรมโมเดล อิมเมอร์ซีฟ แสงสี ประกอบดนตรีร่วมสมัย และแอปพลิเคชัน เพื่อสื่อสารกับผู้ชมทุกวัย ชั้นที่ 1 จัดแสดงการอนุรักษ์และบูรณะอาคาร พร้อมบริเวณ SPARK Zone เล่าเรื่องราว แสงแห่งอนาคต Symphony of Light ที่นำเสนออนาคตพลังงาน และนวัตกรรม Smart City, ชั้นที่ 2 "แสงแห่งความยั่งยืน Sustainable Electric Light" ถ่ายทอดการพัฒนากิจการไฟฟ้าไทย การก่อตั้งการไฟฟ้านครหลวง และเรื่องราวผู้ว่าการในอดีต, ส่วนชั้นที่ 3 บอกเล่าเรื่องราว "แสงแรกแห่งสยาม First Electric Light in Siam" ช่วงประวัติศาสตร์ก่อนมีไฟฟ้าใช้ จนถึงจุดกำเนิดกิจการไฟฟ้า และโรงไฟฟ้าวัดเลียบ ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

เวลา 14.42 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในฐานะทรงเป็นประธานที่ปรึกษาของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ

จากนั้น ทรงเปิดนิทรรศการ "ชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม" เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมการแต่งกายแบบไทย และเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับชุดไทยพระราชนิยมให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ความเป็นมา ตระหนักถึงคุณค่าและเกิดแรงบันดาลใจในการร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทยอย่างยั่งยืน

โดยในปี 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรป ทรงตระหนักว่าการปรากฏพระองค์ในฐานะพระราชินีแห่งราชอาณาจักรไทยเปรียบเสมือนตัวแทนของคนทั้งชาติ แต่ขณะนั้นสตรีไทยยังไม่มีการแต่งกายที่เป็นแบบแผน และแสดงเอกลักษณ์ของชาติที่ชัดเจน จึงมีพระราชดำริให้จัดทำเครื่องแต่งกายที่สะท้อนความเป็นไทยอย่างงดงามและมีความร่วมสมัย ด้วยพระราชปณิธานในการอนุรักษ์ธรรมเนียมการแต่งกายแบบไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้เชี่ยวชาญศึกษารูปแบบการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณ ประยุกต์เข้ากับเทคนิคการตัดเย็บแบบสมัยใหม่ และทรงออกแบบชุดไทยที่สวมใส่ได้สะดวก เหมาะกับยุคสมัย โดยยังคงความสง่างามและเอกลักษณ์ไทยไว้อย่างกลมกลืน ต่อมา เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ชุดไทยพระราชนิยม" และกลายเป็นต้นแบบชุดประจำชาติของสตรีไทยในปัจจุบัน

ต่อจากนั้น ทอดพระเนตรนิทรรศการ "ชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม" ณ ห้องจัดแสดงหมายเลข 1 โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงนำเสด็จพระราชดำเนิน โดยจัดแสดงฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยม 8 แบบ ที่ตั้งชื่อตามหมู่พระที่นั่ง ประกอบด้วย ชุดไทยเรือนต้น นิยมสวมใส่ในโอกาสงานลำลอง เป็นเสื้อคอกลมตื้นไม่มีขอบ ผ้าซิ่นเป็นผ้าฝ้าย หรือผ้าไหม แขนกระบอกสามส่วน

ชุดไทยจิตรลดา นิยมสวมใส่ในโอกาสที่เป็นทางการ เป็นเสื้อคอกลมมีขอบตั้ง ผ้าซิ่นเป็นผ้าไหมลายขวาง ไหมเกลี้ยง หรือมีเชิง แขนกระบอกความยาวจรดข้อมือ

ชุดไทยอมรินทร์ นิยมสวมใส่ในโอกาสที่เป็นทางการ เป็นเสื้อคอกลมมีขอบตั้ง ใช้ผ้าไหมยกดอกที่มีทองแกม หรือยกทองทั้งตัว

ชุดไทยบรมพิมาน นิยมสวมใส่ในโอกาสที่เป็นทางการระดับสูง เวลากลางวัน หรือค่ำ เป็นเสื้อคอกลมมีขอบตั้ง ใช้ผ้ายกไหม ยกทองมีเชิง หรือยกทองทั้งตัว

ชุดไทยดุสิต นิยมสวมใส่ในโอกาสงานพิธีตอนกลางคืน ใช้แทนชุดราตรีแบบตะวันตก เป็นเสื้อคอกลมกว้างไม่มีแขน ใช้ผ้ายกไหม หรือยกทอง

ชุดไทยจักรี นิยมสวมใส่ในโอกาสพิธีการสำคัญตอนค่ำ เป็นเสื้อเปิดไหล่ข้างหนึ่ง ใช้สไบห่มแบบเฉียง และใช้ผ้ายกมีเชิง หรือยกทั้งตัว

ชุดไทยศิวาลัย นิยมสวมใส่ในโอกาสพิธีการที่มีหมายกำหนดการ ใช้ได้ทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน เป็นเสื้อคอกลมมีขอบตั้ง ผ่าหลังติดซิป ห่มสไบกรองทองทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง ใช้ซิ่นไหม หรือยกทอง

และชุดไทยจักรพรรดิ นิยมสวมใส่ในโอกาสงานพิธีอย่างเป็นทางการตอนค่ำ ห่มสไบ 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นสไบทึบ ชั้นที่สองเป็นสไบปักดิ้นทอง ใช้ซิ่นไหม หรือยกทอง

จากนั้น ทอดพระเนตรนิทรรศการ "สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ" ณ ห้องจัดแสดงหมาย 2 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 และเผยแพร่พระราชกรณียกิจ ผ่านฉลองพระองค์ในช่วงเวลาต่าง ๆ โดยได้นำฉลองพระองค์ชุดใหม่ มาจัดแสดง

และทอดพระเนตรผลิตภัณฑ์ภายในร้านพิพิธภัณฑ์ ที่นำลวดลายจากฉลองพระองค์ในนิทรรศการ "ชุดไทย : จากราชสำนัก สู่ราชนิยม" มาทำเป็นที่คาดผมผ้าไหม, ร่ม, หมวก, กรอบรูปไม้ลงทอง, หมอนปักผ้าไหม, พัด, ผ้าพันคอ และกระเป๋า ทั้งนี้ นิทรรศการ "ชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม" เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคมเป็นต้นไป ระหว่างเวลา 09.00-16.30 น.

ข่าวอื่นในหมวด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง