ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เดินหน้ากันต่อกับผู้นำกัมพูชา หลังมติ สมช. ฟ้องแพ่งและอาญา เอาผิดกฎหมายประเทศไทย เปิดทางชาวบ้าน หน่วยราชการฟ้องได้ แต่ไม่ตัดทิ้งแนวทางฟ้องศาลโลก นายภูมิธรรม บอกดูข้อกฎหมายก่อนทำได้ก็จะทำ
หลังสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. มีมติฟ้องผู้นำกัมพูชา ทั้งแพ่งและอาญา ที่ใช้กำลังทหาร และยุทโธปกรณ์ มารุกรานอธิปไตยของไทย ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เป็นศูนย์รวมในการรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน หน่วยงานราชการที่ได้รับผลกระทบ และจะเป็นตัวกลางในการสอบสวนรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ เพื่อทำเรื่องร้องเรียน ก่อนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุด ฟ้องร้องภายในประเทศเท่านั้น
แต่รักษาราชการแทนายกฯ นายภูมิธรรม เวชยชัย บอกถึงการเรียกร้องให้ฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ก็ต้องดูข้อกฎหมาย เงื่อนไข
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกการฟ้องผู้นำกัมพูชา ต้องจัดสมดุลให้ดีในทุกมิติ ที่ทำให้ราบรื่นและประโยชน์เป็นของประเทศและประชาชน
นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อธิบายถึงการเรียกร้องคดีแพ่ง กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูล เพื่อแจ้งความดำเนินคดี และเรียกร้องค่าเสียหายให้กับประชาชน
เมื่อคืนที่ผ่านมา "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ออกมาโพสต์ข้อตวามตอบโต้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า หาก สมเด็จฯ ฮุน เซน และนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา เข้ามาในประเทศไทยเมื่อไร ก็จะดำเนินการจับกุมทันที โดย สมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุว่า หากสื่อรายงานคำพูดของรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งใกล้จะหมดวาระ ได้อย่างถูกต้อง ก็แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นผู้ที่ขาดความยั้งคิด และขาดความเข้าใจในกฎหมายจารีตประเพณีและพิธีการทางการทูต ซึ่งหากไทยสามารถจับกุมผู้นำกัมพูชาได้ กัมพูชาก็สามารถจับกุมผู้นำไทยที่รุกรานและสังหารพลเมืองกัมพูชาได้เช่นกัน
นอกจากนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังตั้งคำถามว่า นี่เป็นความพยายามสร้างความไว้วางใจและมุ่งสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น หรือเป็นการกระทำยั่วยุที่อาจจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นอีกครั้ง หลังจากมีข้อตกลงหยุดยิง
ด้าน พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ระบุว่า นับตั้งแต่การหยุดยิงมีผลบังคับใช้ เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม เราได้เห็นพัฒนาการเชิงบวกในการหารือทวิภาคีระหว่างสองประเทศ เช่น การประชุม GBC และการประชุม RBC
โดยทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องต่อยอดพัฒนาการเชิงบวกเหล่านี้ เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพ และฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับมาเป็นปกติในทุกด้าน